ยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือที่นิยมเรียกกันโดยรวมว่า "ยาคลายกล้ามเนื้อ" เป็นยาอีกชนิดที่หลายคนคุ้นเคย ไม่ว่าจะปวดคอ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดเข่า ปวดเมื่อยอะไรมาก็เลือกใช้ยานี้ เช้ามารับรองสบาย หายปวด
แท้จริงแล้ว พฤติกรรมการใช้ยาเช่นนี้มีอันตรายหลายอย่างและอาจเสี่ยงเป็นโรคไตได้ในอนาคต ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ยากล้ามเนื้อ ลองถามตัวเองดูว่า "เรารู้จักยาคลายกล้ามเนื้อกันดีพอหรือยัง"
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
แล้วรู้ไหมว่า "ควรเลือกใช้ยาคลายกล้ามเนื้ออย่างไรจึงจะถูกโรค ถูกอาการ ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียง หรือลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด"
กลุ่มของยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ
ยา 3 กลุ่มใหญ่ๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ได้แก่ พาราเซตามอล ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) และยาคลายกล้ามเนื้อ (muscle relaxant)
แต่ละกลุ่มมีรายละเอียดดังนี้
กลุ่มที่ 1 พาราเซตามอล (Paracetamol) หรืออะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen)
กลไกที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาการปวดคือ มีฤทธิ์อ่อนในการยับยั้งเอนไซม์พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด
ขนาดรับประทาน: สำหรับบรรเทาอาการปวด 325-650 มิลลิกรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง และห้ามรับประทานเกิน 4000 มิลลิกรัมใน 1 วัน เนื่องจากยามีพิษต่อตับหากรับประทานเกิน หรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน
เหมาะสำหรับ: สามารถใช้ยาพาราเซตามอลได้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้แอสไพริน หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด หรือผู้ป่วยที่มีโรคในระบบทางเดินอาหารเนื่องจากยาไม่เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ไม่เหมาะสำหรับ: ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีอาการแพ้ยา ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีภาวะติดแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยจากภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD (glucoes-6phosphate dehydrogenenase) ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยโรคตับ ยากลุ่มนี้อยู่ใน category B ตามการจัดแบ่งของ US FDA ค่อนข้างมีความปลอดภัยในการใช้ในหญิงตั้งครรภ์ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากคนส่วนมากมักคิดว่ายาไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่การใช้ขนาดยาที่สูงจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้เช่นเดียวกัน
กลุ่มที่ 2 ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID)
กลไกที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาอาการอักเสบคือ ยับยั้งเอนไซม์ไซโคลออกซิจิเนส (cyclooxygenase) โดยเอนไซม์นี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะราคิโดนิค (arachidonic acid) เป็นพรอสตาแกลนดิน ที่เป็นสารสื่อกลางตอบสนองการอักเสบและความรู้สึกเจ็บปวด
ยาในกลุ่มนี้ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen)
ขนาดรับประทาน: สำหรับยาไอบูโพรเฟน เพื่อบรรเทาอาการปวด คือ 400 ถึง 800 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง แต่ไม่รับประทานเกินวันละ 3,200 มิลลิกรัม และไม่ใช้ยาต่อเนื่องกันเกิน 10 วัน
ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา: ระคายเคืองกระเพาะอาหารจึงควรรับประทานยาหลังอาหารเพื่อป้องกันผลข้างเคียงดังกล่าว
ไม่เหมาะสำหรับ: ไม่ควรใช้ยาในผู้ที่แพ้ยาไอบูโพรเฟน ผู้ป่วยหอบหืด ผู้ป่วยที่มีประวัติเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยโรคไต และผู้หญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ยากลุ่มนี้อยู่ใน category C ตามการจัดแบ่งของ US FDA ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรสำหรับการใช้ยาในกรณีตั้งครรภ์ และอยู่ใน category D หากใช้ในหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสที่สาม หรือใกล้คลอด จึงไม่ควรใช้ยาในช่วงไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ หรือใกล้คลอด
นอกจากไอบูโพรเฟนจะมีชนิดรับประทานแล้วยังมีในรูปแบบใช้กับผิวหนังด้วย ได้แก่ รูปแบบครีม เจล และรูปแบบสเปรย์ วิธีการใช้คือ ทายาลงไปบริเวณที่มีอาการโดยตรง
ยากลุ่ม NSAID อื่นนอกเหนือจากไอบูโพรเฟนที่นิยมใช้ได้แก่ แอสไพริน (aspirin) ไดโคลฟิแนค (diclofenac) อินโดเมธาซิน (indomethacin) คีโตโปรเฟน (ketoprofen) นาพรอกเซน (naproxen)
ขนาดยาที่ใช้ในผู้ใหญ่และขนาดใช้สูงสุดต่อวัน
ยาแต่ละตัวมีขนาดสูงสุดและปริมาณที่กินแต่ละครั้งแตกต่างกัน ดังนี้
- Aspirin ร่างกายสามารถรับได้สูงสุดวันละ 5,000 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 500-1,000 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง
- Diclofenac ร่างกายสามารถรับได้สูงสุดวันละ 150 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 25-50 มิลลิกรัม ทุก 6-8 ชั่วโมง
- Indomethacin ร่างกายสามารถรับได้สูงสุดวันละ 100 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 25-50 มิลลิกรัม ทุก 8-12 ชั่วโมง
- Ketoprofen ร่างกายสามารถรับได้สูงสุดวันละ 300 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 100-200 มิลลิกรัม ทุก 8-12 ชั่วโมง
- Naproxen ร่างกายสามารถรับได้สูงสุดวันละ 1,250 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม ทุก 6-8 ชั่วโมง
ปัจจุบันนอกเหนือจากยารับประทานแล้วยังมีในกลุ่มยาทา เช่น ยาทาแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารสกัดจากพริก
มีข้อบ่งใช้สำหรับบรรเทาอาการปวด ขนาดใช้คือ ทาบริเวณที่ปวดโดยไม่ต้องถูนวดจำนวน 2-3 ครั้งต่อวัน ซึ่งตัวยาค่อนข้างมีความปลอดภัยมากกว่ายารับประทานเนื่องจากเป็นยาใช้เฉพาะที่
เว้นแต่หลังการใช้ยาทุกครั้งควรล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันการนำมือที่สัมผัสยามาสัมผัสกับเนื้อเยื่ออื่นที่อาจก่อให้เกิดการแสบร้อน
กลุ่มที่ 3 ยาคลายกล้ามเนื้อ
ยาคลายกล้ามเนื้อเป็นยาที่ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง กล่อมประสาท และมีคุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ
คุณสมบัติของยาคลายกล้ามเนื้อ ได้แก่
- ลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลาย
- บรรเทาอาการปวด
- เพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่มีอาการปวด
ส่วนมากมักใช้ยาคลายกล้ามเนื้อในระยะสั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อในการรักษาอาการปวดเรื้อรังที่มากกว่า 3 เดือน
ยาคลายกล้ามเนื้อไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มยาใดกลุ่มยาหนึ่งจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีโครงสร้างทางเคมีที่เหมือนกัน หรือมีกลไกในการออกฤทธิ์ที่เหมือนกันในสมอง ยาคลายกล้ามเนื้อใช้สำหรับยาที่มีผลในการกล่อมประสาท
ตัวอย่างยาคลายกล้ามเนื้อกลุ่มที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่ Chlorzoxazone, Methocarbamol, Orphenadrine, Tolperisone และ Esperisone
ขนาดรับประทานตามเอกสารกำกับยา
- Chlorzoxazone รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม 3-4 ครั้งต่อวัน (และลดขนาดลงเมื่ออาการดีขึ้น)
- Methocarbamol รับประทานครั้งละ 1.5 กรัม 4 ครั้งต่อวัน (และลดขนาดลงเมื่ออาการดีขึ้น)
- Orphenadrine รับประทานครั้งละ 100 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน
- Tolperisone รับประทานครั้งละ 50-150 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน
- Esperisone รับประทานครั้งละ 50 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน
ข้อบ่งใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ
จะไม่ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อกลุ่มนี้เป็นยาหลักแต่จะใช้เป็นยาเสริมร่วมกับการใช้ยาหลักเท่านั้น
- ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อในกรณีสำหรับอาการปวดกล้ามเนื้อแบบเฉียบพลันเท่านั้น หากไม่มีอาการปวดสามารถหยุดยาได้ ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อ
- ไม่มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อในการรักษาอาการปวดแบบเรื้อรัง
- หากลืมรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อ สามารถรับประทานได้ทันทีที่นึกขึ้นได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา
- ควรใช้ยาคลายกล้ามเนื้อภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคร่วม หรือผู้สูงอายุ
- ห้ามใช้ยาคลายกล้ามเนื้อร่วมกับเครื่องดื่มแอลกฮอล์
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ
ผลข้างเคียงของยาคลายกล้ามเนื้อ
- มึนงง ง่วงซึม ท้องผูก ปากและคอแห้ง
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง แน่นจมูก
- กรดไหลย้อน
- กลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลข้างเคียงจากยา
- ยาคลายกล้ามเนื้อยังอาจมีปฏิกิริยาในทางลบกับยาบางชนิด เช่น ยาทางจิตเวช ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลง ยาแก้ปวด Tramadol อาจทำให้อาการข้างเคียงมีมากขึ้น
ข้อควรระวังการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ
สำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร หรือขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผู้ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง ควรระมัดระวังหากต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อเพราะอาจทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้
นอกจากยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อในสามกลุ่มนี้แล้ว ผู้มีอาการปวดกล้ามเนื้ออาจพิจารณายาทางเลือกอื่น เช่น ใช้ยาทาที่มาจากสารสกัดอื่น เช่น เมนทอล วินเทอร์กรีนออยล์ น้ำมันระกำ
รวมทั้งใช้การประคบอุ่น การทำกายภาพบำบัด การยืด เหยียด ให้ถูกวิธี เพื่อช่วยคลายอาการปวดเมื่อย หรือปฏิบัติตามท่าแก้อาการที่ถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมทั้งพยายามหาต้นเหตุความปวดเมื่อยให้เจอแล้วหาวิธีแก้ไข
เช่น ปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้ถูกต้องเหมาะสม หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด หากทำได้อยางนี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้อย่างยั่งยืน โดยอาจไม่ต้องพึ่งพายาคลายกล้ามเนื้อชนิดใดๆ อีกเลย
ดูแพ็กเกจทำกายภาพบำบัด เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android