โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) หรือเรียกชื่อโรคนี้ได้สั้นๆว่า "โรค MG" เป็นโรคแพ้ภูมิตนเองเรื้อรังชนิดหนึ่งซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
คำว่า Myasthenia Gravis มาจากภาษาละตินและกรีก ซึ่งหมายถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคนี้ในปัจจุบันสามารถทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตได้ยืนยาวเท่าคนปกติ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ความชุกของโรค
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถเกิดได้กับทุกเชื้อชาติ ทุกเพศและทุกวัย แต่มักพบในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 40 ปีและผู้ชายอายุมากกว่า 60 ปี ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคติดต่อ หรือไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่อาจพบโรคนี้ในครอบครัวเดียวกันมากกว่า 1 คนได้
สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดจากความผิดปกติในการสื่อสารระหว่างเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดได้จากปัจจัยต่อไปนี้
1. ภูมิคุ้มกัน
เพราะเส้นประสาทจะสื่อสารกับกล้ามเนื้อ โดยการใช้สารเคมีซึ่งจะถูกจับที่กล้ามเนื้อในตำแหน่งที่เรียกว่า "Neuromuscular junction"
หากคุณเป็นโรคนี้ ร่างกายจะทำการผลิตภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะไปขัดขวางการจับหรือทำลายตัวรับสาร (Receptor) ที่เรียกว่า "อะซิทิลโคลีน" (Acetylcholine) ที่กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อได้รับสัญญาณจากเส้นประสาทลดลง และกลายเป็นอ่อนแรงในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ ภูมิคุ้มกันเหล่านี้ยังอาจยับยั้งการทำงานของโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของ Neuromuscular junction ซึ่งทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงตามมาได้ด้วย
2. ต่อมไทมัส
ต่อมไทมัส เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ตั้งอยู่บริเวณหน้าอกส่วนบน ซึ่งอาจเป็นตัวกระตุ้น หรือควบคุมการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะ T lymphocyte
ซึ่งต่อมนี้จะมีขนาดใหญ่ตอนเด็ก และจะเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่เป็นโรค MG มักมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่กว่าปกติ จึงเชื่อว่าความผิดปกติของการควบคุมการสร้างภูมิคุ้มกันของต่อมไทมัส อาจมีส่วนทำให้เกิดการทำลายตัวรับอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine receptor) เนื่องจากในต่อมไทมัสมีเซลล์ที่มีการแสดงออกของ Acetylcholine receptor
นอกจากนั้น อาจมีเนื้องอก (ที่มักไม่ใช่มะเร็ง) เกิดขึ้นภายในต่อมไทมัสของผู้ป่วยโรคนี้
3. พันธุกรรม
ตัวอย่างเช่น ทารกที่มีแม่เป็นโรคนี้ก็อาจเกิดมาเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน แต่จะพบได้น้อย
อย่างไรก็ตาม หากได้รับการรักษาในทันที ทารกเหล่านี้มักจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ภายใน 2 เดือนหลังคลอด หรือเด็กบางคนอาจเกิดมาพร้อมกับภาวะ Congenital myasthenic syndrome ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก
4. สาเหตุอื่นๆ
หากโรคนี้ไม่ได้เกิดจากการสร้างภูมิคุ้มกันมายับยั้งสาร Acetylcholine หรือตัวรับที่กล้ามเนื้อ จะเรียกว่า "Antibody-negative myasthenia gravis" โดยอาจเกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานต่อต้านกับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Lipoprotein-related protein 4 ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้
ปัจจัยที่ทำให้อาการของโรคแย่ลง
ปัจจัยต่อไปนี้จะทำให้โรคแย่ลง มีดังต่อไปนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ความเหนื่อย
- อาการเจ็บป่วย
- ความเครียด
- ความร้อน
- ยาบางกลุ่ม เช่น
- Beta blockers (เบต้า บล็อกเกอร์)
- Quinidine gluconate (ควินิดิน กลูโคเนต)
- Quinidine sulfate (ควินิดิน ซัลเฟต)
- Quinine (ควินิน)
- Phenytoin (เฟนิโทอิน)
- ยาดมสลบบางชนิด
- ยาปฏิชีวนะบางชนิด
การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด Myasthenia Gravis
มีผู้ป่วยประมาณ 50% ที่โรคสงบหลังจากการตัดต่อมไทมัส
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด Myasthenia Gravis สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาและการบำบัดซึ่งจะช่วยให้ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทจะเป็นคนกำหนดว่าการรักษาในรูปแบบใดเหมาะกันคุณมากที่สุด โดยคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้
- อายุ
- ความรุนแรงของโรค
- ตำแหน่งของกล้ามเนื้อที่เป็น
- โรคร่วมอื่นๆ
การใช้ยา
แพทย์อาจสั่งจ่ายยา Anticholinesterase agents เช่น Neostigmine และ Pyridostigmine เพื่อช่วยรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด Myasthenia Gravis
โดยยาในกลุ่มนี้จะช่วยลดการทำลายสารอะซิทิลโคลีน ส่งผลให้เกิดการเพิ่มการสื่อสารระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยากลุ่มนี้ เช่น
- ปัญหาทางระบบทางเดินอาหาร
- คลื่นไส้
- มีน้ำลายและเหงื่อออกมาก
นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive drugs) เช่น Prednisolone, Azathioprine, Cyclosporine, Mycophenolate mofetil และ Tacrolimus จะไปยับยั้งการสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ ดังนั้นแพทย์จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ผลข้างเคียงดังกล่าวประกอบด้วย
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ปัญหาทางระบบทางเดินอาหาร
- เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- อันตรายต่อตับ
- อันตรายต่อไต
การยับยั้งการทำลายตัวรับอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine receptor)
แพทย์จะยับยั้งการทำลายตัวรับอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine receptor) ด้วยวิธีต่อไปนี้
- การฟอกพลาสมา (Plasmapheresis) คือ หัตถการที่นำส่วนประกอบของเลือดซึ่งมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติออกจากเลือดก่อนที่จะนำกลับเข้าสู่ร่างกาย
- การให้อิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ทางเส้นเลือดดำปริมาณสูง จะช่วยปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผ่านการให้ภูมิคุ้มกันเข้าสู่กระแสเลือด
การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
มีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 15% ที่มีเนื้องอกภายในต่อมไทมัส (Thymectomy) การผ่าตัดต่อมนี้ออกจะช่วยลดอาการในผู้ป่วยบางคน และอาจหายขาดได้ในบางคนเพราะมีการปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันในร่างกายใหม่
ถึงแม้ว่าจะไม่มีเนื้องอกที่ต่อมไทมัส แต่พบว่าการตัดต่อมออกอาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น และอาจหยุดยาได้
อย่างไรก็ตามอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลของการผ่าตัด และในบางคนอาจพบว่าไม่มีอาการดีขึ้นเลยได้
การผ่าตัดต่อมไทมัส สามารถทำได้โดยวิธีการ ดังนี้
- ผ่าตัดเปิด (Open surgery) แพทย์จะทำการตัดกระดูกหน้าอกเพื่อเปิดเข้าสู่ช่องอกก่อนจะตัดต่อมไทมัสออก
- การผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) การผ่าตัดแบบนี้อาจได้ผลดีกว่าเนื่องจาก
- เสียเลือดน้อย
- ปวดน้อยกว่า
- ลดอัตราการตาย
- ลดระยะเวลาที่ต้องนอนโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด
การผ่าตัดแบบแผลเล็กนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- การผ่าตัดส่องกล้อง (Video-assisted thymectomy) แพทย์จะทำการลงแผลเล็กๆ บริเวณลำคอ และใส่กล้องและเครื่องมือลงไปเพื่อทำการตัดต่อมไทมัส หรืออาจเปิดแผลเล็กๆ ที่บริเวณด้านข้างของหน้าอก ก่อนจะใส่เครื่องมือและกล้องลงไปทางแผลดังกล่าวเพื่อทำการตัดต่อมไทมัสออก
- การผ่าตัดต่อมไทมัสโดยใช้หุ่นยนต์ช่วย (Robot-assisted thymectomy) การผ่าตัดแบบนี้จะมีการลงแผลหลายตำแหน่งบริเวณด้านข้างของหน้าอก ก่อนจะใช้ระบบหุ่นยนต์ซึ่งประกอบด้วยแขนกล้องและแขนกลในการตัดเอาต่อมไทมัสออกมา
การปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต
การปรับวิธีการใช้ชีวิตต่อไปนี้อาจช่วยควบคุมอาการของโรคได้
วิธีการรับประทานอาหาร
- รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ ตลอดทั้งวัน
- รับประทานเมื่อกล้ามเนื้อมีแรง
- ค่อยๆ เคี้ยวอาหาร
- หยุดระหว่างการกัดแต่ละคำ
- กินอาหารอ่อน
- หลีกเลี่ยงอาหารทีต้องเคี้ยวหาก เช่นผลไม้หรือผักสด
ระวังความปลอดภัย
- ติดตั้งราวจับในบ้านหากต้องการ
- ทำให้พื้นสะอาดและไม่มีพรมเผยอขึ้นมา
- กวาดใบไม้ หิมะ และขยะอื่นๆ ออกจากทางเท้าหรือทางขับรถ
การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือต่างๆ
- การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่นแปรงสีฟันไฟฟ้า ที่เปิดกระป๋องอัตโนมัติจะช่วยให้คุณไม่ต้องออกแรงมากเกินไป
ใช้ที่ปิดตา
- หากคุณมีการเห็นภาพซ้อน คุณอาจใช้วิธีการปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อช่วยในการเขียน การอ่าน หรือการดูโทรทัศน์
วางแผนล่วงหน้า
- เตรียมการวางแผนการทำงานบ้านต่างๆ ให้อยู่ในช่วงที่คุณมีพลังงานมากที่สุด และพักผ่อนเมื่อต้องการ
การพยากรณ์โรคของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด Myasthenia Gravis
การรักษาโรคนี้ในผู้ป่วยส่วนมากจะช่วยลดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ผู้ป่วยบางคนอาจมีช่วงสงบของโรคและอาจไม่ต้องใช้ยาในช่วงนั้น ซึ่งถือเป็นเป้าหมายของการตัดต่อมไทมัส
อ้างอิงจากสถาบันความผิดปกติทางระบบประสาทและเส้นเลือดสมอง (National Institute of neurological Disorders and Stroke) พบว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดประมาณ 50% จะทำให้โรคสงบและอาจสงบได้ถาวร
ภาวะแทรกซ้อนของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
แม้ว่าภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ส่วนมากจะสามารถรักษาได้ แต่มีบางภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ประกอบด้วย
- Myasthenic crisis เป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต เนื่องจากกระทบต่อการหายใจ และจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันทีเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหายใจเองได้
- เนื้องอกที่ต่อมไทมัส ซึ่งมักไม่ใช่มะเร็ง แต่สามารถพบได้ประมาณ 15% ของผู้ป่วยโรคนี้
- การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
- โรคที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ภูมิตนเองโรคอื่นๆ เช่น ข้ออักเสบชนิดรูห์มาติก (Rheumatoid arthritis) หรือโรคลูปัส (Lupus)
ในปัจจุบัน ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถใช้ชีวิตปกติได้เหมือนคนทั่วไป โดยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตตามคำแนะนำเบื้องต้น และเข้ารับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพ จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
ทำไม่ ต้องอ้วนลงพุ่งค่ะ