โรควัณโรคกระดูกสันหลังคืออะไร
โรควัณโรคกระดูกสันหลัง เป็นการติดเชื้อวัณโรคที่บริเวณกระดูกสันหลัง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท หากเกิดในเด็กจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของกระดูกสันหลัง ทำให้หลังโก่งขึ้นเรื่อยๆ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
สาเหตุของโรควัณโรคกระดูกสันหลัง
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) โดยมีจุดเริ่มต้นการติดเชื้อจากอวัยวะอื่นแพร่กระจายไปที่กระดูก ทำให้ข้อกระดูกถูกทำลาย และมีการอักเสบจนเกิดเป็นฝี
ตรวจกระดูกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 534 บาท ลดสูงสุด 61%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
พยาธิสรีรภาพ
- ส่วนใหญ่จะมีการติดเชื้อวัณโรคที่เกิดจากอวัยวะส่วนอื่นอยู่ก่อนแล้ว เช่น มีจุดเริ่มต้นที่ต่อมน้ำเหลืองขั้วปอด วัณโรคของระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น แล้วแพร่กระจายมายังกระดูก และทางกระแสเลือด หรือต่อมน้ำเหลือง ทำให้เกิดการติดเชื้อวัณโรคเข้าสู่กระดูกสันหลัง ซึ่งมักเป็นกระดูกพรุน ส่งผลให้เกิดการอักเสบ
- กระดูกจะถูกทำลาย และเยื่อบุข้อหนาขึ้น เนื่องจากมีเนื้อเยื่อเม็ดเล็กๆ (Granulation) เข้าไปแทนที่
- มีเนื้อเยื่อตายและอักเสบ มีลักษณะเหนียวคล้ายครีมข้นรวมตัวกันเป็นฝี
- หากมีแรงดันมากจะทำให้เอ็นหุ้มข้อแตก และมีหนองไหลออกมา
- หากเกิดขึ้นบริเวณกระดูกสันหลังนอกตอนบน หนองอาจเซาะเข้าไปตามแนวกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านข้างของกระดูกสันหลังส่วนนอกต่อกับเอว
- เมื่อกระดูกมีการอักเสบ และเนื้อกระดูกบางลงจนเกิดการยุบตัวจะทำให้มีอาการหลังโก่ง (Kyphosis)
- เมื่อมีข้อและไขสันหลังถูกทำลายจากแรงกดของหนอง อาจทำให้ร่างกายส่วนล่างตั้งแต่เอวลงไปเป็นอัมพาตได้
อาการของโรควัณโรคกระดูกสันหลัง
ระยะอาการเบื้องต้น
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดลง ผอม ซูบ ซีด
- เซื่องซึม
- กล้ามเนื้อหลังตึง ก้มตัวลำบาก
- อาจมีไข้ต่ำๆ โดยเฉพาะตอนบ่าย
ระยะที่มีการอักเสบของกระดูกสันหลัง
- อาการปวดท้อง (เป็นอาการที่สำคัญ) จะปวดมากขึ้นเมื่อทำงาน หรือได้รับแรงกระทบกระเทือน หรือเวลาไอ จาม อาการจะดีขึ้นเมื่อนอนพัก
- ปวดหลังมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืน
- มีอาการกดเจ็บ และบวมบริเวณผิวหนังรอบๆ
- บางรายมีอาการหลังโก่ง
- อาจมีอาการปวดร้าวไปที่ขา ในที่สุดจะเป็นอัมพาตบริเวณร่างกายส่วนล่าง
- หากไปกดไขสันหลัง ผู้ป่วยอาจเดินกะเผลก หรือเดินไม่ได้
การวินิจฉัยโรควัณโรคกระดูกสันหลัง
- หากมีอาการปวดหลังต่อไปนี้ ต้องมาพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่ ปวดหลังมากตอนกลางคืน นอนไม่ค่อยหลับ มีอาการกดเจ็บ และบวมบริเวณผิวหนังรอบๆ กระดูกสันหลัง
- แพทย์จะเจาะเลือดตรวจหาจำนวนเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC) มักพบค่าฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb) ต่ำ ค่าฮีมาโทคริต (Hematocrit: Hct) ต่ำ ค่าเซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cells: WBC) ปกติ และการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงใน 1 ชั่วโมง (Erythrocyte sedimentation rate: ERS) สูง
- ตรวจปัสสาวะเพื่อหาการติดเชื้อวัณโรคระบบทางเดินปัสสาวะ
- การทดสอบทูเบอร์คิวลิน (Tuberculin test) ให้ผลบวก
- หากตัดชิ้นกระดูก (Biopsy) หรือตัดเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆ ที่เป็นวัณโรคจะพบลักษณะของวัณโรค
- การถ่ายภาพรังสีจะพบการยุบของกระดูกเป็นเงา หากพบเงาทึบในเนื้อเยื่ออ่อนแสดงว่า มีการเกิดหนองในเนื้อเยื่ออ่อน
- การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก (Magnetic resonance imaging: MRI) จะช่วยค้นพบความผิดปกติในระยะแรกได้ เพราะมีความสามารถในการหาความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อสูง ทำให้แยกระหว่างเนื้อเยื่อปกติ และเนื้อเยื่อผิดปกติได้
การรักษา
- ให้ผู้ป่วยพักผ่อน โดยใช้เครื่องพยุงหลังร่วมด้วย
- ให้ยาต้านวัณโรค เช่น INH (ไอเอ็นเอช) Rifampicin (ไรแฟมพิซิน) Pyrazinamide (ไพราซินาไมด์) Ethambutol (อีแทมบูทอล) Streptomycin (สเตรปโตมัยซิน) เป็นต้น ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี
- บำรุงร่างกายให้แข็งแรง
- หากมีการกดทับไขสันหลัง หรือเส้นประสาท อาจผ่าตัดเปิดเข้าไปในข้อ เพื่อขูดเนื้อเยื่อและกระดูกตายออกให้หมด หรือผ่าตัดเพื่อเอาส่วนที่กดไขสันหลัง หรือเส้นประสาทออก
การพยาบาล
- ดูแลให้รับประทานยาตามแผนการรักษา
- พักผ่อนให้เพียงพอ จัดให้นอนพักบนที่นอนที่แน่น ในท่านอนหงาย ให้ใช้หมอนรองใต้เข่า เพื่อช่วยลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อต้นขา ด้านหลัง และลดการแอ่นของหลัง ส่วนในท่านอนตะแคง ให้ใช้หมอนรองใต้ขาบน และใช้หมอนพยุงทางด้านหลังตามแนวความยาวของหลัง เวลาพลิกตะแคงตัว ให้พลิกไปทั้งตัวเพื่อไม่ให้หลังบิด
- บำรุงร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โปรตีนสูง ดื่มน้ำให้มากๆ 2,000– 3,000 มิลลิลิตรต่อวัน
- อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ผ่อนคลายความเครียด
- เตรียมผู้ป่วยให้พร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ก่อน และหลังการผ่าตัด
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลผ่าตัดติดเชื้อ แผลมีการอักเสบ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน มีสิ่งขับหลั่งจากแผล มีไข้ เป็นต้น
- หากมีอาการปวดหลังมากขึ้น ชาที่ขามากขึ้น ขาไม่มีแรง หรือพบสิ่งผิดปกติต่างๆ ให้มาพบแพทย์ก่อน
- ยืนให้ตัวตรง โดยน้ำหนักลงที่ขาทั้ง 2 ข้าง ไม่ยืนหลังค่อม หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ ควรย่อเข่าเมื่อต้องยืน หรือเดินนานๆ ไม่สวมรองเท้าส้นสูง
- ควรนั่งเก้าอี้ที่สูงพอดี มีพนักพิงหลัง เมื่อนั่งแล้วเท้าทั้งสองแตะพื้น นั่งตัวตรง หลังพิงเก้าอี้ และไม่ควรนั่งนานๆ