โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) เป็นโรคทางอารมณ์ที่ผู้ป่วยจะมีอาการแปรปรวนทางอารมณ์ 2 ด้านคือ อารมณ์ซึมเศร้า (Major depressive episode) และอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania หรือ Hypomania) ซึ่งจะเกิดขึ้นสลับกันไปอย่างคาดเดาไม่ได้ แต่พฤติกรรมของผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นๆ
ซึ่งจากความแปรปรวนทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยโรคไบไพลาร์ต้องเผชิญกับผลกระทบที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของคนรอบตัว เช่น
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- รู้สึกว่าตนเองแปลกแยก ไร้ค่า และอาจรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย
- ไม่มีสมาธิในการเรียน หรือการทำงาน
- นอนหลับพักผ่อนได้น้อยลง หรือนอนมากเกินไป
- มีปัญหาด้านการเข้าสังคม หรืออาจทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว
- มีพฤติกรรมหมกมุ่นเรื่องเพศมากเกินไป
- ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตนเองได้ เช่น ดื่มสุรา เสพยาเสพติด ติดการพนัน ใช้เงินมากเกินไป
- ไม่สามารถสื่อสารหรือพูดคุยกับผู้อื่นได้อย่างปกติ
ดังนั้น โรคไบโพลาร์จึงจัดเป็นโรคความผิดปกติทางอารมณ์ที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรปล่อยไว้ให้อาการลุกลามรุนแรงมากขึ้น และเพื่อให้ผู้ป่วยได้อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างปกติและมีความสุข
การรักษาโรคไบโพลาร์
การรักษาโรคไบโพลาร์สามารถแบ่งออกได้หลักๆ เป็น 2 แบบคือ การรักษาโดยใช้ยา และการรักษาโดยทำจิตบำบัด
1. การรักษาโรคไบโพลาร์โดยการใช้ยา
ผู้ป่วยอาจต้องรับประทานยาเพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่ทันทีหลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์แล้ว โดยแพทย์อาจสั่งยาให้มากกว่า 1 ประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคไบโพลาร์และอาการที่เกิดขึ้น เช่น
- ยาปรับอารมณ์ (Mood stabilizers) ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ส่วนมากจำเป็นต้องได้รับยาปรับอารมณ์เพื่อควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะอาการในช่วงอารมณ์ดีผิดปกติหรือช่วงอารมณ์ดีผิดปกติชนิดอ่อน (Manic or hypomanic episodes) สำหรับตัวอย่างยาที่ใช้จะได้แก่
- คาร์บามาเซพีน (Carbamazepine)
- ไดวาลโปรเอ็กซ์ โซเดียม (Divalproex sodium)
- ลาโมไตรจีน (Lamotrigine)
- ลิเทียม (Lithium)
- กรดวาลโปรอิก (Valproic acid)
- ยาต้านโรคจิต (Antipsychotics) เป็นยาที่จะออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้เราทุกคนรู้สึกมีความสุข ตื่นตัวและกระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น
แต่หากสารนี้มีการหลั่งมากเกินปริมาณที่จำเป็น ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของคนเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น หุนหันพลันแล่นมากขึ้น อยู่นิ่งไม่ได้ ก้าวร้าว พูดเร็ว หรือคิดเร็วเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้ และอาจลุกลามไปถึงเกิดอาการบ้าคลั่ง และหวาดระแวงด้วย
ยาต้านโรคจิตจะช่วยรักษาโรคไบโพลาร์ในส่วนของการควบคุมอาการอารมณ์ดีผิดปกติ หรืออาการซึมเศร้าของผู้ป่วย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการหลงผิด (Delusions) หรืออาการประสาทหลอน (Hallucinations) ร่วมด้วย เช่น
- อะริพิพราโซล (Aripiprazole)
- อะเซนาปีน (Asenapine)
- โอแลนซาปีน (Olanzapine)
- ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine)
- ลูราซิโดน (Lurasidone)
- ควิไทอะปีน (Quetiapine)
- ริสเพอริโดน (Risperidone)
- ไซพราซิโดน (Ziprasidone)
- ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เป็นยาสำหรับควบคุมอาการซึมเศร้า ช่วยเสริมฤทธิ์ยาปรับอารมณ์และยาต้านโรคจิต
- ยาคลายกังวล (Antianxiety medications) แพทย์อาจสั่งใช้ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) ซึ่งเป็นยาคลายกังวลที่จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เกิดอาการวอกแวกหรือหวาดระแวง รวมถึงช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน ยาคลายกังวลก็อาจมีผลข้างเคียงกับพฤติกรรมของผู้ป่วยบ้าง เช่น เกิดอาการซึม นอนหลับมากเกินไป มีอาการติดยาหรือดื้อยาเกิดขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยควรรับประทานยาคลายกังวลตามคำสั่งของแพทย์เท่านั้น และไม่ควรซื้อยาชนิดนี้มารับประทานเองเด็ดขาด
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคไบโพลาร์
ยารักษาโรคไบโพลาร์สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากมาย และบางผลข้างเคียงก็อาจร้ายแรงมาก ซึ่งหากคุณสังเกตเห็นความผิดปกติของตนเอง หรือกับคนใกล้ชิดที่เป็นผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ อย่าหยุดยาเองเป็นอันขาด แต่ให้รีบไปปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะการหยุดยาเองอาจทำให้อาการของโรคกำเนิบ หรือเกิดอาการถอนยาได้
นอกจากเรื่องผลข้างเคียงของยาแล้ว การใช้ยารักษาโรคไบโพลาร์ร่วมกับยากำเนิดก็อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาและนำไปสู่ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ด้วย ทั้งในผู้ป่วยหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนว่าจะตั้งครรภ์อยู่
ดังนั้นหากคุณกำลังใช้ยาคุมกำเนิด กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนเริ่มใช้ยาสำหรับรักษาโรคไบโพลาร์
คำแนะนำหากรักษาโรคไบโพลาร์ด้วยยาไม่ได้ผล
ยาเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคไบโพลาร์ แต่หากยาที่รับประทานอยู่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น หรือมีผลข้างเคียงมากเกินไป ควรรีบแจ้งแพทย์เพื่อหาวิธีแก้ไข โดยยาที่ใช้รักษาโรคไบโพลาร์นั้นมีให้เลือกใช้หลากหลายชนิด แพทย์อาจจ่ายยาชนิดใหม่ให้กับผู้ป่วย เพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น
2. การรักษาโรคไบโพลาร์โดยการทำจิตบำบัด
นอกเหนือจากการใช้ยา แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้าร่วมการทำจิตบำบัด หรือรับคำปรึกาในรูปแบบอื่นๆ เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกับโรคอย่างเหมาะสม และวิธีจิตบำบัดนี้ยังครอบคลึมการรักษาภาวะติดยา หรือภาวะติดแอลกอฮอล์ด้วย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องยาเสพติด
สำหรับวิธีทำจิตบำบัดที่ได้รับความนิยมใช้กันในการรักษาโรคไบโพลาร์ จะได้แก่
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- "การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT)" เป็นการทำจิตบำบัดที่จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะช่วยหาว่า อะไรเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการของโรคไบโพลาร์ จากนั้นจะช่วยหาแนวทางแก้ไข และหาวิธีรับมือกับความเครียด พร้อมส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีกับผู้ป่วยเพื่อให้ควบคุมกับอาการของโรคได้
- “การทำจิตบำบัดรายบุคคลโดยครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมด้วย (Family-Focused Therapy: FFT)” เป็นการทำจิตบำบัดกับผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วย หรืออาจรวมถึงผู้ที่อยู่ใกล้ชิดด้วย
สำหรับเป้าหมายของการทำจิตบำบัดแบบนี้คือ เพื่อขัดขวางและป้องกันความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครอบครัวหรือกับคนรอบข้าง เพื่อลดความเครียดและวิตกกังวลของผู้ป่วย รวมถึงทำให้ผู้ใกล้ชิดปรับตัวเข้ากับปัญหา และอาการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการช่วยรักษาโรคได้ดียิ่งขึ้น - “การทำจิตบำบัดสัมพันธภาพระหว่างบุคคลและการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย (Interpersonal and Social Rhythm Therapy: IPSRT)” เป็นการทำจิตบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์ของคนรอบข้างดียิ่งขึ้น มีความเข้าใจในอาการของโรคที่ตนเองเป็นอยู่ รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีบทบาทในสังคมได้เหมือนเดิม
สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนการรักษา
จากวิธีการรักษาและรับประทานยาที่กล่าวไปข้างต้น หากคุณยังคงมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้ปรึกษาแพทย์ว่าควรเปลี่ยนวิธีการรักษาหรือไม่
- รู้สึกมีพลังงานมากกว่าปกติ คึกคักผิดปกติ
- มีพลังงานลดลง รู้สึกเศร้าหรือสิ้นหวัง
- มีอารมณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหลายครั้งในแต่ละวัน อาจมีความสุขหรือมีพลังเป็นบางช่วง แล้วเปลี่ยนเป็นรู้สึกหม่นหมองหรือซึมเศร้าในช่วงเวลาต่อมา
- สงสัยว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองหรือพยายามจะเข้ามาทำร้าย
- รู้สึกผิดหวังในตนเองมากโดยไม่มีเหตุผล
- นอนไม่หลับหรือตื่นเช้ามากผิดปกติ
- มีปัญหากับการทำงานให้เสร็จตามกำหนดหรือตามที่ตั้งใจไว้
- ทำเรื่องสุ่มเสี่ยงหรือทำสิ่งต่างๆ โดยไม่คิด
- มีปัญหากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เช่น ทะเลาะหรือมีเรื่องกับคนอื่นบ่อยกว่าปกติ
- มีอาการผิดปกติทางกายภาพ เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม ปวดหัว หัวใจเต้นเร็ว หรือมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือด
ขั้นตอนการเปลี่ยนการรักษา
คุณควรไปพบแพทย์ทันทีหากสังเกตว่า ยาที่รับประทานอยู่ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้น หรือรู้สึกว่าอาการแย่ลงกว่าเดิม รวมถึงหากพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงบางอย่าง อยากทำร้ายตัวเอง หรือปวดบริเวณกึ่งกลางของร่างกายมาก
หลังจากนั้น แพทย์จะสอบถาม และอาจแนะนำให้คุณรับการทดสอบบางอย่าง เช่น การตรวจเลือดเพื่อดูว่ายามีผลต่อร่างกายอย่างไร หากยาที่ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป แพทย์อาจให้คุณค่อยๆ ลดปริมาณยาที่ใช้จนหยุดรับประทานยาไป ก่อนจะเปลี่ยนให้ลองใช้ยาตัวอื่นแทน
การหยุดยาอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน สิ่งสำคัญที่ต้องระวังก็คือ ห้ามคุณหยุดรับประทานยาเองเด็ดขาดโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะการหยุดใช้ยารักษาโรคไบโพลาร์ในทันทีนั้นสามารถส่งผลต่ออารมณ์ได้
นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้คุณรักษาโดยใช้วิธี "การกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy: ECT)" ซึ่งเป็นการรักษาโดยส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมองหลังจากคนไข้ได้รับยาสลบแล้ว การรักษาวิธีนี้จะสามารถช่วยให้อาการของโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์ดีขึ้นได้
นอกจากนี้ การรักษาด้วยวิธี ECT ยังให้ผลเร็วกว่าการรับประทานยาด้วย แต่ผลลัพธ์ของการรักษาวิธีนี้จะอยู่ได้ไม่นาน และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอาการเดิมซ้ำอีกครั้ง คุณอาจจำเป็นต้องรับประทานยาหรือรักษาโดยใช้ ECT แบบระยะยาว
ทางเลือกในการรักษาอื่นๆ สำหรับโรคไบโพลาร์
มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการรักษาโรคไบโพลาร์ด้วยสมุนไพรหรืออาหารเสริมอยู่บ้าง แต่ก็มีหลักฐานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่จำกัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษา ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างว่าอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคไบโพลาร์ได้ ได้แก่
- กรดอะมิโน (Amino acids)
- แมกนีเซียม (Magnesium)
- กรดไขมันโอเมกา 3 เช่น น้ำมันปลา (Fish oil) หรือน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flax seed Oil)
- สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John's wort) สำหรับภาวะซึมเศร้า
ทั้งนี้ กรดอะมิโนที่แนะนำ เช่น แซมอี (S-adenosyl-L-methionine: SAMe) และสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ตอาจมีผลต่อยาต้านซึมเศร้า หรืออาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการอารมณ์ดีผิดปกติหรืออารมณ์ดีผิดปกติชนิดอ่อนได้
นอกจากนี้ หลายคนยังเชื่อว่าการฝังเข็มตามศาสตร์แพทย์แผนจีนอาจช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่ทราบประสิทธิภาพที่แน่นอนสำหรับการรักษาโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์ด้วยวิธีนี้
เราจะเห็นได้ว่าการรักษาโรคไบโพลาร์นั้นมีทางเลือกที่หลากหลายมาก และยังมีส่วนช่วยให้คนในครอบครัว และผู้ใกล้ชิดของคุณเข้าใจถึงปัญหาของโรคได้
ดังนั้นหากคุณได้รับการวินิจฉัย หรือมีผู้ใกล้ชิดถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์แล้ว อย่าอายที่จะขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณและผู้ป่วยสามารถหาวิธีรับมือกับความผิดปกติทางอารมณ์นี้ได้ และสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ตามปกติ