กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

การรักษาโรคไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์รักษาอย่างไร มีกี่วิธีบ้าง
เผยแพร่ครั้งแรก 7 ม.ค. 2020 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
การรักษาโรคไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) เป็นโรคทางอารมณ์ที่ผู้ป่วยจะมีอาการแปรปรวนทางอารมณ์ 2 ด้านคือ อารมณ์ซึมเศร้า (Major depressive episode) และอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania หรือ Hypomania) ซึ่งจะเกิดขึ้นสลับกันไปอย่างคาดเดาไม่ได้ แต่พฤติกรรมของผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นๆ

ซึ่งจากความแปรปรวนทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยโรคไบไพลาร์ต้องเผชิญกับผลกระทบที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของคนรอบตัว เช่น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  • รู้สึกว่าตนเองแปลกแยก ไร้ค่า และอาจรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย
  • ไม่มีสมาธิในการเรียน หรือการทำงาน
  • นอนหลับพักผ่อนได้น้อยลง หรือนอนมากเกินไป
  • มีปัญหาด้านการเข้าสังคม หรืออาจทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว
  • มีพฤติกรรมหมกมุ่นเรื่องเพศมากเกินไป
  • ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตนเองได้ เช่น ดื่มสุรา เสพยาเสพติด ติดการพนัน ใช้เงินมากเกินไป
  • ไม่สามารถสื่อสารหรือพูดคุยกับผู้อื่นได้อย่างปกติ

ดังนั้น โรคไบโพลาร์จึงจัดเป็นโรคความผิดปกติทางอารมณ์ที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรปล่อยไว้ให้อาการลุกลามรุนแรงมากขึ้น และเพื่อให้ผู้ป่วยได้อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างปกติและมีความสุข

การรักษาโรคไบโพลาร์

การรักษาโรคไบโพลาร์สามารถแบ่งออกได้หลักๆ เป็น 2 แบบคือ การรักษาโดยใช้ยา และการรักษาโดยทำจิตบำบัด

1. การรักษาโรคไบโพลาร์โดยการใช้ยา

ผู้ป่วยอาจต้องรับประทานยาเพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่ทันทีหลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์แล้ว โดยแพทย์อาจสั่งยาให้มากกว่า 1 ประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคไบโพลาร์และอาการที่เกิดขึ้น เช่น

  • ยาปรับอารมณ์ (Mood stabilizers) ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ส่วนมากจำเป็นต้องได้รับยาปรับอารมณ์เพื่อควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะอาการในช่วงอารมณ์ดีผิดปกติหรือช่วงอารมณ์ดีผิดปกติชนิดอ่อน (Manic or hypomanic episodes) สำหรับตัวอย่างยาที่ใช้จะได้แก่
    • คาร์บามาเซพีน (Carbamazepine) 
    • ไดวาลโปรเอ็กซ์ โซเดียม (Divalproex sodium) 
    • ลาโมไตรจีน (Lamotrigine) 
    • ลิเทียม (Lithium) 
    • กรดวาลโปรอิก (Valproic acid)
  • ยาต้านโรคจิต (Antipsychotics) เป็นยาที่จะออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้เราทุกคนรู้สึกมีความสุข ตื่นตัวและกระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น 

แต่หากสารนี้มีการหลั่งมากเกินปริมาณที่จำเป็น ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของคนเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น หุนหันพลันแล่นมากขึ้น อยู่นิ่งไม่ได้ ก้าวร้าว พูดเร็ว หรือคิดเร็วเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้ และอาจลุกลามไปถึงเกิดอาการบ้าคลั่ง และหวาดระแวงด้วย

ยาต้านโรคจิตจะช่วยรักษาโรคไบโพลาร์ในส่วนของการควบคุมอาการอารมณ์ดีผิดปกติ หรืออาการซึมเศร้าของผู้ป่วย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการหลงผิด (Delusions) หรืออาการประสาทหลอน (Hallucinations) ร่วมด้วย เช่น

  • ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เป็นยาสำหรับควบคุมอาการซึมเศร้า ช่วยเสริมฤทธิ์ยาปรับอารมณ์และยาต้านโรคจิต
  • ยาคลายกังวล (Antianxiety medications) แพทย์อาจสั่งใช้ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) ซึ่งเป็นยาคลายกังวลที่จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เกิดอาการวอกแวกหรือหวาดระแวง รวมถึงช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ยาคลายกังวลก็อาจมีผลข้างเคียงกับพฤติกรรมของผู้ป่วยบ้าง เช่น เกิดอาการซึม นอนหลับมากเกินไป มีอาการติดยาหรือดื้อยาเกิดขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยควรรับประทานยาคลายกังวลตามคำสั่งของแพทย์เท่านั้น และไม่ควรซื้อยาชนิดนี้มารับประทานเองเด็ดขาด

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคไบโพลาร์

ยารักษาโรคไบโพลาร์สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากมาย และบางผลข้างเคียงก็อาจร้ายแรงมาก ซึ่งหากคุณสังเกตเห็นความผิดปกติของตนเอง หรือกับคนใกล้ชิดที่เป็นผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ อย่าหยุดยาเองเป็นอันขาด แต่ให้รีบไปปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะการหยุดยาเองอาจทำให้อาการของโรคกำเนิบ หรือเกิดอาการถอนยาได้

นอกจากเรื่องผลข้างเคียงของยาแล้ว การใช้ยารักษาโรคไบโพลาร์ร่วมกับยากำเนิดก็อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาและนำไปสู่ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ด้วย ทั้งในผู้ป่วยหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนว่าจะตั้งครรภ์อยู่

ดังนั้นหากคุณกำลังใช้ยาคุมกำเนิด กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนเริ่มใช้ยาสำหรับรักษาโรคไบโพลาร์

คำแนะนำหากรักษาโรคไบโพลาร์ด้วยยาไม่ได้ผล

ยาเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคไบโพลาร์ แต่หากยาที่รับประทานอยู่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น หรือมีผลข้างเคียงมากเกินไป ควรรีบแจ้งแพทย์เพื่อหาวิธีแก้ไข โดยยาที่ใช้รักษาโรคไบโพลาร์นั้นมีให้เลือกใช้หลากหลายชนิด แพทย์อาจจ่ายยาชนิดใหม่ให้กับผู้ป่วย เพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น

2. การรักษาโรคไบโพลาร์โดยการทำจิตบำบัด

นอกเหนือจากการใช้ยา แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้าร่วมการทำจิตบำบัด หรือรับคำปรึกาในรูปแบบอื่นๆ เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกับโรคอย่างเหมาะสม และวิธีจิตบำบัดนี้ยังครอบคลึมการรักษาภาวะติดยา หรือภาวะติดแอลกอฮอล์ด้วย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องยาเสพติด

สำหรับวิธีทำจิตบำบัดที่ได้รับความนิยมใช้กันในการรักษาโรคไบโพลาร์ จะได้แก่

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  • "การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT)" เป็นการทำจิตบำบัดที่จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะช่วยหาว่า อะไรเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการของโรคไบโพลาร์ จากนั้นจะช่วยหาแนวทางแก้ไข และหาวิธีรับมือกับความเครียด พร้อมส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีกับผู้ป่วยเพื่อให้ควบคุมกับอาการของโรคได้
  • “การทำจิตบำบัดรายบุคคลโดยครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมด้วย (Family-Focused Therapy: FFT)” เป็นการทำจิตบำบัดกับผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วย หรืออาจรวมถึงผู้ที่อยู่ใกล้ชิดด้วย
    สำหรับเป้าหมายของการทำจิตบำบัดแบบนี้คือ เพื่อขัดขวางและป้องกันความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครอบครัวหรือกับคนรอบข้าง เพื่อลดความเครียดและวิตกกังวลของผู้ป่วย รวมถึงทำให้ผู้ใกล้ชิดปรับตัวเข้ากับปัญหา และอาการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการช่วยรักษาโรคได้ดียิ่งขึ้น
  • “การทำจิตบำบัดสัมพันธภาพระหว่างบุคคลและการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย (Interpersonal and Social Rhythm Therapy: IPSRT)” เป็นการทำจิตบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์ของคนรอบข้างดียิ่งขึ้น มีความเข้าใจในอาการของโรคที่ตนเองเป็นอยู่ รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีบทบาทในสังคมได้เหมือนเดิม

สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนการรักษา

จากวิธีการรักษาและรับประทานยาที่กล่าวไปข้างต้น หากคุณยังคงมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้ปรึกษาแพทย์ว่าควรเปลี่ยนวิธีการรักษาหรือไม่

  • รู้สึกมีพลังงานมากกว่าปกติ คึกคักผิดปกติ
  • มีพลังงานลดลง รู้สึกเศร้าหรือสิ้นหวัง
  • มีอารมณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหลายครั้งในแต่ละวัน อาจมีความสุขหรือมีพลังเป็นบางช่วง แล้วเปลี่ยนเป็นรู้สึกหม่นหมองหรือซึมเศร้าในช่วงเวลาต่อมา
  • สงสัยว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองหรือพยายามจะเข้ามาทำร้าย
  • รู้สึกผิดหวังในตนเองมากโดยไม่มีเหตุผล
  • นอนไม่หลับหรือตื่นเช้ามากผิดปกติ
  • มีปัญหากับการทำงานให้เสร็จตามกำหนดหรือตามที่ตั้งใจไว้
  • ทำเรื่องสุ่มเสี่ยงหรือทำสิ่งต่างๆ โดยไม่คิด
  • มีปัญหากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เช่น ทะเลาะหรือมีเรื่องกับคนอื่นบ่อยกว่าปกติ
  • มีอาการผิดปกติทางกายภาพ เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม ปวดหัว หัวใจเต้นเร็ว หรือมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือด

ขั้นตอนการเปลี่ยนการรักษา

คุณควรไปพบแพทย์ทันทีหากสังเกตว่า ยาที่รับประทานอยู่ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้น หรือรู้สึกว่าอาการแย่ลงกว่าเดิม รวมถึงหากพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงบางอย่าง อยากทำร้ายตัวเอง หรือปวดบริเวณกึ่งกลางของร่างกายมาก

หลังจากนั้น แพทย์จะสอบถาม และอาจแนะนำให้คุณรับการทดสอบบางอย่าง เช่น การตรวจเลือดเพื่อดูว่ายามีผลต่อร่างกายอย่างไร หากยาที่ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป แพทย์อาจให้คุณค่อยๆ ลดปริมาณยาที่ใช้จนหยุดรับประทานยาไป ก่อนจะเปลี่ยนให้ลองใช้ยาตัวอื่นแทน

การหยุดยาอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน สิ่งสำคัญที่ต้องระวังก็คือ ห้ามคุณหยุดรับประทานยาเองเด็ดขาดโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะการหยุดใช้ยารักษาโรคไบโพลาร์ในทันทีนั้นสามารถส่งผลต่ออารมณ์ได้

นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้คุณรักษาโดยใช้วิธี "การกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy: ECT)" ซึ่งเป็นการรักษาโดยส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมองหลังจากคนไข้ได้รับยาสลบแล้ว การรักษาวิธีนี้จะสามารถช่วยให้อาการของโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์ดีขึ้นได้

นอกจากนี้ การรักษาด้วยวิธี ECT ยังให้ผลเร็วกว่าการรับประทานยาด้วย แต่ผลลัพธ์ของการรักษาวิธีนี้จะอยู่ได้ไม่นาน และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอาการเดิมซ้ำอีกครั้ง คุณอาจจำเป็นต้องรับประทานยาหรือรักษาโดยใช้ ECT แบบระยะยาว

ทางเลือกในการรักษาอื่นๆ สำหรับโรคไบโพลาร์

มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการรักษาโรคไบโพลาร์ด้วยสมุนไพรหรืออาหารเสริมอยู่บ้าง แต่ก็มีหลักฐานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่จำกัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษา ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างว่าอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคไบโพลาร์ได้ ได้แก่

ทั้งนี้ กรดอะมิโนที่แนะนำ เช่น แซมอี (S-adenosyl-L-methionine: SAMe) และสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ตอาจมีผลต่อยาต้านซึมเศร้า หรืออาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการอารมณ์ดีผิดปกติหรืออารมณ์ดีผิดปกติชนิดอ่อนได้

นอกจากนี้ หลายคนยังเชื่อว่าการฝังเข็มตามศาสตร์แพทย์แผนจีนอาจช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่ทราบประสิทธิภาพที่แน่นอนสำหรับการรักษาโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์ด้วยวิธีนี้

เราจะเห็นได้ว่าการรักษาโรคไบโพลาร์นั้นมีทางเลือกที่หลากหลายมาก และยังมีส่วนช่วยให้คนในครอบครัว และผู้ใกล้ชิดของคุณเข้าใจถึงปัญหาของโรคได้ 

ดังนั้นหากคุณได้รับการวินิจฉัย หรือมีผู้ใกล้ชิดถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์แล้ว อย่าอายที่จะขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณและผู้ป่วยสามารถหาวิธีรับมือกับความผิดปกติทางอารมณ์นี้ได้ และสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ตามปกติ


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
ศิริลักษณ์ ศุภปิติพร, การรักษาด้วยยาและจิตบำบัดในจิตเวชปฏิบัติยุคปัจจุบัน (http://clmjournal.org/_fileupload/journal/34-2.pdf), March-April 2012.
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), ยาคลายเครียด เรื่องซีเรียสที่ควรระวัง (https://www.hsri.or.th/sites/default/files/attachment/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94-3-02.png).

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
สถิติของโรคบุคลิกภาพแปรปรวนแบบก้ำกึ่ง
สถิติของโรคบุคลิกภาพแปรปรวนแบบก้ำกึ่ง

โรคบุคลิกภาพแปรปรวนแบบก้ำกึ่งพบได้บ่อยกว่าที่คุณคิด

อ่านเพิ่ม
ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง Borderline personality disorder (BPD) จะมีผลต่อเพศสัมพันธ์ของคุณอย่างไร
ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง Borderline personality disorder (BPD) จะมีผลต่อเพศสัมพันธ์ของคุณอย่างไร

ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง Borderline personality disorder (BPD) จะบั่นทอนความใกล้ชิดของคู่รักได้อย่างไร

อ่านเพิ่ม
แค่ยิ้มและหัวเราะ ก็ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย สุขภาพจิตดีขึ้น
แค่ยิ้มและหัวเราะ ก็ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย สุขภาพจิตดีขึ้น

ประโยชน์ของการยิ้มและหัวเราะ ที่ไม่ใช่แค่ดีต่อสุขภาพใจ และมีผลต่อสุขภาพกายแบบพิสูจน์ได้!

อ่านเพิ่ม