ฝ้า เป็นอาการบนผิวหนังใบหน้าที่เกิดได้กับหลายคน โดยค่าเฉลี่ยแล้วคนเรามักมีฝ้าเมื่ออายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป โดยเกิดในบริเวณที่ถูกแสงแดด เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก ริมฝีปาก คาง และเหนือคิ้ว ลักษณะเป็นแผ่นสีดำอมน้ำตาล ขึ้นเป็นแถบหรือปื้น มักเป็นทั้ง 2 ข้างเท่ากัน ปัจจุบันการรักษาฝ้าค่อนข้างยาก ดังนั้นการป้องกันการเกิดฝ้าด้วยสมุนไพรจึงเป็นเรื่องน่าสนใจ
ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ฝ้า เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง โดยการเสียสมดุลของการสร้างเม็ดสีนั้น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) ในแสงแดดช่วงเวลา 9.00-15.00 น. ซึ่งมีความเข้มของสูง ความเครียด การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนไป เช่น เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ตั้งครรภ์ กินยาคุมกำเนิด หรือใช้เครื่องสำอางบางชนิด ที่มีน้ำหอม สี หรือฮอร์โมนผสมอยู่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ประเภทของฝ้า
ฝ้า สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
- ฝ้าตื้น เกิดจากความผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า เกิดขึ้นง่าย มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี รักษาให้หายได้
- ฝ้าลึก เกิดบริเวณชั้นหนังแท้ ผื่นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในระดับที่ลึกมาก การรักษาจึงค่อนข้างยาก
- ฝ้าแดด เกิดจากรังสียูวีเอและยูวีบีจากแสงแดด หลอดไฟ แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน เป็นต้น
- ฝ้าเลือด มักเกิดจากความผิดปกติของเลือดลมและฮอร์โมน เกิดเป็นลักษณะผิวแดงง่ายเมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด
วิธีป้องกันและรักษาฝ้า
การป้องกันการเกิดฝ้า หลักๆ คือการปกป้องผิวจากแสงแดด เช่น สวมเสื้อแขนยาว สวมหมวก และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและต้องเป็นแบบ PA+++ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีในระดับสูง นอกจากนี้อย่าลืมทาครีมกันแดดซ้ำ ตามเวลาที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อประสิทธิภาพการกันแดดสูงสุด
นอกจากนี้สามารถป้องกันการเกิดฝ้าได้โดยรับประทานวิตามินซี ซึ่งจะมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีเนส (Tyrosinase) เอนไซม์ชนิดนี้มีหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเม็ดสีใต้ผิวหนัง และด้วยความที่วิตามินซีมีสารต้านสารอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี ช่วยชะลอการเกิดฝ้า กระ และการเกิดริ้วรอยได้ ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ มะขามป้อม ฝรั่ง ลิ้นจี่ ผลไม้ตระกูลส้ม เสาวรส แต่ะทั้งนี้ การรับประทานวิตามินซีมากจนเกินไป ร่างกายจะไม่สามรถดูดซึมได้ทั้งหมด และขับออกทางปัสสาวะ ดังนั้นควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และควรรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลายร่วมด้วย
อีกวิธีที่ช่วยทำให้รอยฝ้าจางลง คือการใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสาร AHA โดยสารชนิดนี้เป็นสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็นกรด สกัดมาจากผลไม้ตามธรรมชาติ เช่น มะขาม หรือจากพืชตระกูลส้ม
4 สูตรสมุนไพรรักษาฝ้า
- สูตรมะขาม มีสรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวเนียนนุ่ม กระจ่างใส มะขามเปียกอุดมไปด้วยกรดผลไม้หรือ AHA มีส่วนช่วยในการลดรอยหมองคล้ำ รอยดำจากฝ้าและกระบนผิวหน้าได้ วิธีใช้คือ นำเนื้อมะขามเปียกมาผสมน้ำเล็กน้อย นำมาพอกหรือทาบางๆ บริเวณที่เป็นรอยฝ้า หรือทาทั่วทั้งใบหน้าก็ได้ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือถ้ามีอาการระคายเคืองหรือแสบผิว สามารถล้างออกก่อนได้
- สูตรทานาคา ทานาคาก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดริ้วรอยและชะลอความชราของผิวหน้า ทั้งยังป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด นอกจากนี้ ทานาคายังสามารถลดการสร้างเม็ดสีเมลานินใต้ผิวได้อีกด้วย วิธีใช้คือ นำผงทานาคามาผสมน้ำหรือไม่ผสมก็ได้ จากนั้นทาให้ทั่วทั้งใบหน้าก่อนหรือหลังเผชิญแสงแดด
- สูตรว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่น ป้องกันฝ้า ลบรอยดำ บรรเทาอาการผิวไหม้จากแสงแดด และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้การศึกษาทางคลินิกยังพบว่า วุ้นจากใบว่านห่างจระเข้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและมีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์ผิวหนังในการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้อีกด้วย วิธีใช้คือ นำใบว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกเขียวและล้างยางสีเหลืองออกให้หมด นำส่วนวุ้นมาทาเฉพาะจุดหรือทาทั่วทั้งหน้า และปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก สามารถทำได้ทุกวันก่อนหรือหลังออกแดดก็ได้
- สูตรหัวไชเท้า ในหัวไชเท้ามีวิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิกสูงมาก เป็นสารสำคัญที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ลดการเกิดรอยด่างดำและรอยฝ้า ช่วยผลัดเซลล์ผิว นอกจากนี้ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยหั่นหัวไชเท้าเป็นชิ้นบางๆ หรือบดหยาบ พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้รอยฝ้าจางลงได้ สูตรพอกหน้านี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายเนื่องจากมีปริมาณวิตามินซีค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม ก่อนใช้สมุนไพรพอกหน้าสูตรต่างๆ ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนทุกครั้ง โดยนำสิ่งที่จะทาบนผิวหน้ามาทาบริเวณท้องแขน แล้วสังเกตดูว่ามีอาการผิดปกติใดๆ เช่น คัน แสบ ร้อน เกิดผื่น ฯลฯ หรือไม่ เพื่อป้องกันการเกิดอาการระคายเคืองต่อผิว
บทความที่เกี่ยวข้อง
ฝ้า กระ คืออะไร ป้องกันอย่างไร พร้อมบอกวิธีรักษาฝ้า กระที่ได้ผล