กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
พญ. ธวัลรัตน์  ปานแดง
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
พญ. ธวัลรัตน์ ปานแดง

ยาขับปัสสาวะ: สิ่งที่ต้องรู้

ยาขับปัสสาวะใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง มีกี่ชนิด มีผลข้างเคียง หรือความเสี่ยงหรือไม่
เผยแพร่ครั้งแรก 7 ต.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 3 ต.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ยาขับปัสสาวะ: สิ่งที่ต้องรู้

ยาขับปัสสาวะเป็นยาที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำ และเกลือที่ถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ Thiazide (ไธอะไซด์) Loop (ลูป) Potassium-sparing (โพแทสเซียม-สแปริ่งไดยูเรติก) มักใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงโรคอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 กลุ่ม แต่ไม่ได้ช่วยในการรักษาความดันโลหิตสูง ได้แก่ carbonic anhydrase inhibitor (คาร์บอนิก แอนไฮเดรส อินฮิบิเตอ) และ osmotic diuretic (ออสโมติก ไดยูเรติก)

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

การใช้ยาขับปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะ นิยมใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยจะไปช่วยลดปริมาณน้ำในเส้นเลือด จึงช่วยลดความดันโลหิตได้ 

ส่วนโรคอื่นๆ ที่ใช้ยาขับปัสสาวะในการรักษา คือ ภาวะหัวใจวาย ซึ่งเป็นภาวะที่หัวใจนั้นสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ไม่ดี ทำให้เกิดสารน้ำสะสมในร่างกาย และทำให้เกิดอาการบวม ยาขับปัสสาวะจะช่วยลดสารน้ำส่วนเกินเหล่านี้

ชนิดของยาขับปัสสาวะ

ยาปัสสาวะนั้นมี 3 ชนิดคือ Thiazide, Loop และ Potassium-sparing ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนั้นจะทำให้ร่างกายขับสารน้ำออกมามากขึ้นในรูปแบบปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Thiazide

Thiazide เป็นยาที่มีการใช้มากที่สุด และมักใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ยากลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ลดสารน้ำในร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้หลอดเลือดคลายตัว บางครั้งอาจจะมีการใช้ร่วมกับยาลดความดันกลุ่มอื่นได้ 

กลไกการออกฤทธิ์

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ยาในกลุ่มนี้จะยับยั้งกลไกการดูดกลับเกลือแร่ชนิดโซเดียมและคลอไรด์ที่ท่อไตส่วนปลาย ทำให้ปริมาณน้ำถูกดูดกลับสู่เลือดลดลงด้วย

ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น

ยาขับปัสสาวะแบบ Loop

ยาขับปัสสาวะในกลุ่มนี้มักจะใช้รักษาภาวะหัวใจวาย 

กลไกการออกฤทธิ์

ยาในกลุ่มนี้จะเพิ่มการขับโซเดียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ที่ส่วนท่อไต บริเวณ ลูป ออฟ เฮนเล (loop of henle)

ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • Torsemide (ทอร์เซไมด์)
  • Furosemide (ฟูโรซีไมด์)
  • Bumetanide (บูเมทาไนด์)
  • Ethacrynic acid (อีธาไครนิค แอคซิด)

ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Potassium-sparing

ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Potassium-sparing จะช่วยลดสารน้ำที่อยู่ในร่างกาย โดยไม่ทำให้เสียโพแทสเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ในขณะที่ยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่นนั้นจะขับโพแทสเซียมออกไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ยากลุ่มนี้จะใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงว่า มีระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ เช่น ผู้ที่กำลังรับประทานยาตัวอื่นที่ทำให้โพแทสเซียมลดลง

ยาในกลุ่มนี้ลดความดันได้ไม่ดีเท่ากับยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น ดังนั้นแพทย์อาจจะสั่งยาควบคู่กับยาลดความดันตัวอื่น

ตัวอย่างยาในกลุ่ม Potassium-sparing เช่น

  • Amiloride (อามิโลไรด์)
  • Spironolactone (สไปโรโนแลคโทน)
  • Triamterene (ไทรแอมเทรีน)
  • Eplerenone (อีพลีรีโนน)

ผลข้างเคียงของยาขับปัสสาวะ

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

ผลข้างเคียงที่รุนแรง

ในบางรายอาจจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่น

  • แพ้ยา
  • ไตวาย
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ

สิ่งที่ต้องทำ

หากมีผลข้างเคียงในระหว่างที่รับประทานยาควรปรึกษาแพทย์ แพทย์อาจจะพิจารณาเปลี่ยนยา หรืออาจจะใช้ยาอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าคุณจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ อย่าหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์

ความเสี่ยงของการใช้ยาขับปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะเป็นยาที่ปลอดภัย แต่ก็อาจจะมีความเสี่ยงได้ หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอื่นๆ หรือใช้ยาตัวอื่นอยู่ ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มใช้ยาขับปัสสาวะต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้ง ถ้ามีภาวะต่อไปนี้

ปฏิกิริยาระหว่างยา

ก่อนที่จะเริ่มใช้ยาตัวใหม่ทุกชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาตัวอื่นที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาที่แพทย์สั่ง สมุนไพร หรืออาหารเสริม โดยเฉพาะยาที่อาจจะทำปฏิกิริยากับยาขับปัสสาวะ เช่น

  • Cyclosporine (ไซโคลสปอรีน)
  • ยาต้านเศร้าเช่น Fluoxetine (ฟลูออกซิทีน) และ Venlafaxine (เวนลาฟาซีน)
  • ลิเทียม
  • Digoxin (ไดจอกซิน)
  • ยาลดความดันตัวอื่น

Q&A

ยาขับปัสสาวะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้หรือไม่

ยาขับปัสสาวะนั้นจะขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลง แต่ไม่ได้ลดลงอย่างถาวร ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดน้ำหนักอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ หากใช้ไม่เหมาะสม อาจทำให้ไตวายตามได้ อย่าใช้ยาขับปัสสาวะเองโดยไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยาทุกชนิด เพราะแพทย์สามารถช่วยบอกได้ว่า ยา หรือผลิตภัณฑ์เหล่านั้นปลอดภัยสำหรับคุณหรือไม่


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
พบหมอรามาฯ : “คนอยากผอม” ระวังเร่งลดน้ำหนักเสี่ยงไตวายเฉียบพลัน (https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article/เร่งลดน้ำหนัก/)
ภก.ณัฐพล วงศ์เวียงกาญจน์, “ยาขับปัสสาวะ” ใช้อย่างไรให้ถูกกับโรค (https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/ondemand/ยาขับปัสสาวะ-ใช้อย่าง/), 18 กรกฎาคม 2560
นพ.เอกพงศ์ สระบงกช, Poison & Drug Information Bulletin (https://med.mahidol.ac.th/poisoncenter/sites/default/files/public/pdf/bulletin/bul2012/bul2012_No1.pdf), March 2012

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)