ตับแข็ง (Cirrhosis) คือภาวะที่เซลล์และเนื้อเยื่อตับเกิดความบาดเจ็บเสียหายและถูกทำลายอย่างถาวร จนเกิดเป็นพังผืดขึ้นในเนื้อตับ ตับจึงมีลักษณะแข็งกว่าปกติ และไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ หากป่วยเป็นตับแข็งในระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการใดๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และพัฒนาไปถึงขั้นเป็นตับแข็งระยะสุดท้าย ตับจะสูญเสียการทำงานเกือบทั้งหมด ทำให้เกิดความผิดปกติต่อร่างกายมากมาย
สาเหตุของตับแข็ง
ตับแข็งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- การดื่มแอลกอฮอล์ มากกว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยตับแข็งนั้นมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน พิษของแอลกอฮอล์ที่สะสมจะส่งผลให้เซลล์ตับเกิดการอักเสบเรื้อรัง จนเกิดตับแข็งได้ในที่สุด
- การติดเชื้อไวรัส ไวรัสที่เป็นสาเหตุหลักคือ ไวรัสตับอักเสบ B และ C (Hepatitis virus B/C) ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 10 โดยมักเกิดกับผู้ที่ติดเชื้อเรื้อรังและไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาแล้วไม่หาย
- ไขมันเกาะตับ หากร่างกายมีไขมันสูงและเกิดการสะสมที่ตับ ไขมันอาจกระตุ้นในเซลล์ตับเกิดการอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็งได้ โดยไขมันเกาะตับมักพบในผู้ที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน และมีไขมันในเลือดสูง
- สาเหตุอื่นๆ เช่น ภาวะท่อน้ำดีอุดตัน ภาวะธาตุเหล็กเกิน ได้รับสารพิษสะสมจากยา หรือสมุนบางชนิด มีการติดเชื้อปรสิต เป็นต้น ซึ่งสาเหตุเหล่านี้พบได้น้อยกว่าสาเหตุ 3 ข้อแรก
อาการของตับแข็ง
ในระยะแรกของโรคตับแข็ง มักมีอาการที่สัมพันธ์กับความเสียหายของตับ แต่ไม่จำเพาะเจาะจงมากนัก ได้แก่
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีเลือดออกหรือเกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย เมื่อเกิดบาดแผลจะมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น เลือดหยุดไหลช้าหรือเร็วเกินไป
เมื่อการดำเนินโรครุนแรงขึ้น จะเริ่มแสดงอาการที่จำเพาะต่อโรคมากขึ้น ได้แก่
- ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
- เจ็บบริเวณชายโครงขวา
- รู้สึกคันตามผิวหนัง
- มีจุดแดงขึ้นที่หน้าอก หน้าท้อง ต้นแขน และฝ่ามือแดงกว่าปกติ เนื่องจากเกิดเส้นเลือดฝอยมากขึ้น
- ในเพศชายอาจมีอัณฑะฝ่อเล็ก และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
จนเมื่อโรคตับแข็งดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย จะมีอาการที่รุนแรงขึ้น ได้แก่
- ท้องมาน ท้องโต บวมตามขาและข้อเท้า
- เห็นหลอดเลือดพองที่หน้าท้อง
- อาจอาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากเส้นเลือดในหลอดอาหารแตก
- มีอาการทางสมอง เช่น สับสน มึนงง เพ้อ จนกระทั่งหมดสติ
การรักษาโรคตับแข็ง
ขั้นแรกของการรักษา คือการหาสาเหตุที่ทำให้เกิดตับแข็ง และรักษาที่ต้นเหตุเป็นหลัก เช่น หากตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์ ต้องเลิกการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด หากมีการติดเชื้อไวรัส ก็ต้องให้ยาต้านไวรัส หรือถ้าพบว่ามีไขมันเกาะตับ ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดน้ำหนัก และควบคุมไขมันในเลือด ส่วนอาการผิดปกติที่เกิดจากความเสียหายของตับ แพทย์จะทำการรักษาไปตามอาการ เช่น
- ให้ยาขับปัสสาวะ Furosemide หรือ Spironolactone เพื่อลดอาการท้องมานและบวมน้ำ
- หากมีการขาดธาตุเหล็ก จะต้องให้ยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก
- หากมีความดันในตับสูง แพทย์จะให้ยากลุ่ม Beta-blocker เพื่อลดความดันภายในตับ
- หากมีอาการคันตามผิวหนัง อาจต้องทานยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการ
- หากมีเลือดออกมากหรืออาเจียนเป็นเลือดหลายครั้ง จะต้องให้เลือดชดเชยด้วย
- หากตับเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถทำงานได้ แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถทำได้ในคนไข้บางคนเท่านั้น เพราะต้องหาผู้บริจาคตับที่เนื้อเยื่อเข้ากันได้กับร่างกายผู้ป่วย อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายสูงและค่อนข้างยุ่งยาก รวมถึงอาจมีผลข้างเคียงที่อันตรายตามมาได้
การป้องกันโรคตับแข็ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยการฉีดวัคซีนป้องกัน และมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ด้วยการสวมถุงยางอนามัย
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และระวังไม่ให้ไขมันในเลือดสูง โดยการออกกำลังกายและทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อป้องกันการเกิดไขมันเกาะตับ
- หลีกเลี่ยงการทานยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น เช่น ยาพาราเซตามอล และยาสมุนไพรต่างๆ
- หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี