เคมีบำบัดคือการรักษามะเร็งประเภทหนึ่งที่มีการใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งไม่ให้แพร่กระจายหรือก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก
เหตุใดจึงมีการใช้เคมีบำบัด
เคมีบำบัดหรือคีโมนั้นจะถูกใช้เมื่อมีการลุกลามของเซลล์มะเร็ง หรือหากมีความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะลาม โดยเป้าหมายหลักของการรักษามี:
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- เพื่อรักษาให้หายขาดจากมะเร็งโดยสมบูรณ์
- เพื่อช่วยให้การรักษาอื่น ๆ ได้ผลมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการคีโมสามารถดำเนินการร่วมกับการบำบัดด้วยรังสีได้ (เทคนิครักษาด้วยรังสีที่ใช้ฆ่าเซลล์มะเร็ง) หรือสามารถดำเนินการบำบัดก่อนเข้าผ่าตัด เป็นต้น
- เพื่อลดความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะกลับมาหลังการบำบัดด้วยรังสีหรือการผ่าตัด
- เพื่อบรรเทาอาการ สำหรับกรณีผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ จนไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ การทำเคมีบำบัดจะช่วยชะลอหรือบรรเทาอาการของมะเร็งนั้น ๆ
อีกทั้งการใช้วิธีเคมีบำบัดยังสามารถใช้รักษาผู้ป่วยภาวะที่ไม่ใช่มะเร็งเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการทำคีโมโดสต่ำ ๆ กับการรักษาผู้ป่วยโรคพุ่มพวงและโรคข้อต่อรูมารอยด์
การทำเคมีบำบัดจะดำเนินการอย่างไร?
การรักษาเคมีบำบัดมีหลายกรรมวิธี ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานเหมือนกัน คุณอาจเข้ารับการบำบัดด้วยยาเคมีเพียงอย่างเดียว หรือด้วยการใช้ยาเคมีหลายตัวขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งของคุณ การให้ยาเคมีตามการเคมีบำบัดนั้นมีหลากหลายวิธีการ อาทิเช่นการให้แผงยา หรือการฉีดเข้ากระแสเลือดโดยตรงซึ่งจะมีทีมแพทย์ที่จะร่วมมือกันวางแผนการรักษาไปตามกรณีของผู้ป่วยมะเร็งแต่ละคน
ผลข้างเคียง
เคมีบำบัดเป็นกระบวนการรักษาหรือบรรเทาโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ก็มีผลข้างเคียงมากเช่นกัน ยาที่ใช้ในการคีโมไม่สามารถแยกระหว่างเซลล์มะเร็งที่มีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว กับเซลล์สุขภาพดีที่มีอัตราการเติบโตเร็วเหมือนกันได้ อย่างเช่นเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์ผิวหนัง และเซลล์ต่าง ๆ ภายในกระเพาะทำให้การบำบัดด้วยเคมีจะมีผลข้างเคียงกับกับเซลล์ของร่างกายรุนแรง ยกตัวอย่างเช่น:
- รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา
- รู้สึกไม่สบาย
- ผมร่วง
- ผู้ป่วยบางคนจะแสดงผลข้างเคียงระดับต่ำ แต่สำหรับผู้ป่วยส่วนมากมักจะทรมานกับการบำบัดด้วยเคมี
การอยู่ร่วมกับการรักษาด้วยเคมีและผลข้างเคียงของเคมีเป็นเรื่องยาก แต่ต้องเข้าใจด้วยว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น โชคดีที่ผลข้างเคียงทั้งหมดจะหายไปเมื่อการรักษาหยุดลง ไม่มีความเสี่ยงที่ผลข้างเคียงของการบำบัดด้วยเคมีจะส่งถ่ายไปยังคนใกล้ชิดหรือแม้แต่ผู้หญิงตั้งครรภ์ก็ตาม ทำให้ผู้ที่กำลังรับการบำบัดคีโมสามารถอยู่ร่วมกับคนที่รักได้
ใครสามารถเข้าบำบัดเคมีได้บ้าง?
การรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นกระบวนการที่ช่วยต่อชีวิตให้คนไข้ ทำให้แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการบำบัด แม้ว่าพวกเขาจะมีสุขภาพย่ำแย่แล้วก็ตามที เนื่องจากผลข้างเคียงของเคมีบำบัดจะหายไปเมื่อการรักษาเสร็จสิ้น
กรณีที่ไม่แนะนำให้ทำการบำบัด หรือควรรับการบำบัดในภายหลังมีดังนี้:
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- กำลังตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 3 เดือนแรก: การทำเคมีบำบัดในช่วงเวลาดังกล่าวมีความเสี่ยงทำให้ทารกที่คลอดออกมาผิดปรกติสูง
- มีระดับเซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำ: กระบวนการเคมีบำบัดจะทำให้จำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยลง ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (ในบางครั้งต้องมีการใช้ยาและการถ่ายเลือดร่วม เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง)
- เป็นโรคตับหรือไตรุนแรง: เนื่องจากการใช้ยากับการบำบัดประเภทนี้จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของตับและไต ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายหากตับและไตของผู้ป่วยไม่แข็งแรงหรือเสียหายอยู่ก่อน
- เพิ่งผ่านการผ่าตัดหรือบาดเจ็บมา: เคมีบำบัดจะไปยับยั้งความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผลของร่างกาย และเป็นการเพิ่มโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
เกิดอะไรขึ้นระหว่างการทำเคมีบำบัด?
เคมีบำบัดสามารถดำเนินการได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับกรณีของโรคที่เป็น
ทีมดูแลรักษา
โรงพยาบาลส่วนมากจะตั้งกลุ่มผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายแขนง (MDTs) เพื่อมาทำงานร่วมกันกับผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งอาจประกอบไปด้วย:
- นักมะเร็งวิทยา: ผู้เชี่ยวชาญในด้านการรักษามะเร็งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด อย่างการใช้เทคนิคบำบัดด้วยรังสี และเคมี เป็นต้น
- นักพยาธิวิทยา: ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นการติดโรคที่เนื้อเยื่อ
- แพทย์โรคเลือด: ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเลือด
- นักจิตวิทยา: เป็นผู้ให้คำแนะนำและสนับสนุนด้านจิตเวชและผลกระทบทางอารมณ์ที่เกิดมาจากการบำบัดเคมี
- กลุ่มพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (CNS) : กลุ่มงานที่ช่วยให้การรักษาผู้ป่วยตลอดการรักษามะเร็ง
ผู้ป่วยมักจะได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นหลัก (โดยเฉพาะ CNS) โดยพวกเขาจะคอยติดต่อผู้ป่วยเมื่อต้องเข้ารับการรักษา และผู้ป่วยเองก็สามารถติดต่อกับคนกลุ่มนี้ได้ตลอดเวลา
สำหรับการตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับคุณนั้น ทางทีมแพทย์จะเป็นผู้แนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดให้คุณเอง แต่กระนั้น คุณจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะเข้ารับการบำบัดหรือไม่เอง
ก่อนการไปโรงพยาบาลเพื่อพูดคุยหาแนวทางการรักษา คุณควรจดรายการคำถามที่ต้องถามแพทย์เจ้าของไข้ของคุณไว้
ยกตัวอย่างเช่น:
ตรวจมะเร็งทั่วไปวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 340 บาท ลดสูงสุด 64%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- เป้าหมายของการบำบัดทางเคมีคืออะไร: ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดเพื่อกำจัดมะเร็ง เพื่อบรรเทาอาการที่เป็น หรือเพื่อช่วยกระตุ้นให้การรักษาอื่น ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ผลข้างเคียงที่คนไข้มักจะประสบและวิธีจัดการเพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการดังกล่าว
- ประสิทธิภาพของการบำบัดเคมีที่ต้องทำจะช่วยให้หายขาด หรือมีเพื่อชะลออาการ
- หรือเพื่อหาวิธีการรักษาอื่นแทนเคมีบำบัด เป็นต้น
การทดสอบ
ก่อนเริ่มการบำบัดด้วยเคมี คุณต้องผ่านการประเมินสุขภาพเพื่อเป็นหลักประกันเวลารับมือกับผลข้างเคียงต่าง ๆ ซึ่งการทดสอบนี้ยังดำเนินการในขณะที่คุณกำลังรับการรักษาด้วยเคมี เพื่อการสอดส่องพัฒนาการทางสุขภาพของคุณไปด้วย
การทดสอบที่แพทย์ใช้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของมะเร็งของคุณ
การตรวจเลือด
ในกรณีส่วนมากจะมีการตรวจเลือดเพื่อประเมินสุขภาพตับและไตของคุณ ซึ่งนับว่าเป็นการตรวจที่สำคัญมากเนื่องจากยาเคมีบำบัดมักจะไปทำลายตับและไตของคุณ ทำให้การใช้ยาเหล่านี้ไม่เป็นที่แนะนำหากผู้ป่วยมีภาวะตับหรือไตเสียหายอยู่
การตรวจเลือดยังดำเนินการเพื่อตรวจจำนวนเซลล์เม็ดเลือดที่มี หากคุณมีจำนวนเม็ดเลือดต่ำ การรักษาคีโมจะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจำนวนเม็ดเลือดของคุณจะกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากการรักษาด้วยเคมีจะไปลดจำนวนเซลล์ในเลือดของคุณ ซึ่งหากจำเป็นจริง ๆ ก็จะมีการถ่ายเลือดควบคู่การรักษาไปด้วย
โดยปกติแล้วจะมีการตรวจเลือดทั่วไปขณะดำเนินการรักษาคุณไปด้วย เพื่อการสอดส่องระวังสภาวะของตับ ไต และจำนวนเม็ดเลือดของคุณ
การสแกน
การสแกนร่างกายจะช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาและหาตำแหน่งของโรคได้
การสแกนมีหลายวิธีให้เลือกใช้ ดังนี้:
- เอกซเรย์
- ซีทีสแกน
- การฉายภาพสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
แผนการรักษา
โดยทั่วไปการบำบัดเคมีมักจะดำเนินการล่วงเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อให้การรักษาแสดงผลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทีมแพทย์จะร่างรายละเอียดแผนการรักษาของคุณว่ามีกี่ส่วน แต่ละคอร์สมีระยะเวลานานเพียงไหน และแต่ละส่วนมีระยะเวลาห่างกันเท่าไร โดยระยะห่างระหว่างการรักษามีไว้เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวก่อนรับการรักษาใหม่ แผนการรักษามะเร็งมีความผันแปรอย่างมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งที่เป็น และระยะของโรค
ชนิดของเคมีบำบัด
การรักษาทางเคมีมักมีอยู่สองวิธีการคือ:
- การให้ยาทางช่องปาก
- และการฉีดเข้ากระแสเลือดโดยตรง
กระนั้นในความเป็นจริง การรักษาเคมีก็สามารถทำได้หลายวิธีนอกจากนี้ เช่นการฉีดเข้ากระดูกสันหลัง และการทายาที่เป็นครีมบนผิวหนัง
ประเภทการบำบัดเคมีที่เลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของมะเร็งและระยะของมะเร็งเอง
การบำบัดเคมีผ่านช่องปาก
หากคุณเป็นคนที่มีสุขภาพดี ก็สามารถเลือกรับประทานยาบำบัดเองที่บ้าน โดยที่คอยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อทำการติดตามผล
การรับประทานยาต้องทำให้ตรงตามข้อมูลที่กำหนดในแผนการรักษาคีโม หากคุณลืมทานยา ให้รีบติดต่อผู้ดูแลเพื่อขอคำแนะนำในทันที และหากคุณเกิดไม่สบายหลังการทานยา ก็ต้องรีบติดต่อทีมแพทย์รักษาโดยด่วนเช่นกัน
การบำบัดเคมีด้วยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
ยาที่ใช้บำบัดเคมีจะค่อย ๆ ถูกฉีดเข้ากระแสเลือด โดยกว่าที่จะให้ยาหนึ่งโดสเสร็จนั้นมีระยะเวลาตั้งแต่หลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน บางคนอาจต้องรับยาโดสต่ำ ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายอาทิตย์ หรือหลายสัปดาห์ ซึ่งหากเป็นกรณีเช่นนี้ คุณจะได้รับปั๊มเล็กขนาดพกพาสะดวกให้คุณดำเนินการต่อที่บ้าน
การบำบัดเคมีด้วยการฉีดเข้าเส้นเลือดนี้สามารถทำได้หลายทาง ซึ่งในบางกรณี คุณก็อาจไม่สามารถเป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีการด้วยตนเองได้
ท่อขนาดเล็ก
ท่อขนาดเล็กนี้จะแทงเข้าสู่เส้นเลือดที่อยู่หลังมือหรือต้นแขนของคุณ โดยมีไว้เพื่อให้ยาค่อย ๆ ฉีดเข้าสู่เส้นเลือด เมื่อมีการให้โดสยาครบตามกำหนด สายดังกล่าวจะถูกดึงออก
สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง
เป็นท่อที่สามารถสอดเข้าไปยังทรวงอก โดยเชื่อมกับเส้นเลือดที่อยู่ใกล้หัวใจของคุณ ท่อจะถูกปล่อยให้ติดค้างอยู่เช่นนั้นหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ๆ เพื่อให้คุณไม่ต้องถูกเจาะฉีดยาซ้ำ ๆ อีกทั้งสายสวนนี้ก็ยังสามารถใช้นำเลือดออกมาตรวจได้อีกด้วย
สายสวนหลอดเลือดห่างจากหัวใจ
สายน้ำเกลือ (PICC) จะคล้ายกับสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง เว้นแต่ว่าท่อของสายประเภทนี้จะเชื่อมไปยังแขนของคุณแทนหน้าอก
การฝังท่อ
ท่อที่ฝังเข้าผิวหนังนั้นจะเป็นท่อยางที่เชื่อมไปยังหลอดเลือด โดยจะมีการให้ยาบำบัดเคมีทางท่อดังกล่าวด้วยเข็มชนิดพิเศษ และท่อจะถูกปล่อยคาไว้เช่นนั้นตลอดการรักษา
ประเด็นที่ควรพิจารณาไว้
ระหว่างการทำเคมีบำบัด จะมีประเด็นสำคัญที่ควรเข้าใจไว้ดังนี้:
การใช้ยาอื่น ๆ
ต้องติดต่อสอบถามทีมผู้ดูแลคุณก่อนการรับประทานยาที่ซื้อตามร้านขายยา เนื่องจากยานอกอาจเข้าไปสร้างปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิดกับการบำบัดได้
คุณต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอย่างการสวมถุงยางก่อนมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง ระหว่างที่ต้องเข้ารักษาคีโม และอย่างน้อย 6 เดือนหลังการรักษาเสร็จสิ้น
ผลข้างเคียง
การบำบัดเคมีมักก่อให้เกิดภาวะข้างเคียงอย่างเช่นผมร่วง เหนื่อยล้า คลื่นไส้ และอาเจียน เป็นต้น
การตั้งครรภ์
คุณไม่ควรตั้งครรภ์ระหว่างระยะเวลาที่ต้องรับการบำบัดเคมี เนื่องจากจะมีการใช้ยาหลายชนิดซึ่งอาจส่งผลทำให้ทารกเกิดความผิดปรกติได้ หากจะมีเพศสัมพันธ์ก็ควรใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดอย่างถุงยาง ซึ่งการป้องกันควรทำอย่างจริงจังในช่วงเวลาอย่างน้อย 6 เดือนแม้จะผ่านการรักษาด้วยเคมีไปแล้ว
หากคุณคาดว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ขณะที่ต้องเข้ารับการบำบัดเคมี ให้รีบแจ้งทีมแพทย์ผู้ดูแลทันที
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงที่เกิดระหว่างการบำบัดเคมีนั้นค่อนข้างยากที่จะคาดเดาเนื่องจากแต่ละคนจะตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน โดยจะมีจำนวนผู้รับการรักษาเล็กน้อยที่ไม่ประสบหรือประสบกับผลข้างเคียงน้อย ผลข้างเคียงทั่วไปของการบำบัดเคมีจะถูกระบุไว้หัวข้อข้างล่าง โดยผู้รับการบำบัดอาจไม่ประสบกับผลข้างเคียงที่กล่าวไว้ทั้งหมด
เมื่อต้องการคำแนะนำจากแพทย์อย่างเร่งด่วน
ผลข้างเคียงของการบำบัดเคมีมักไม่ค่อยส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพของคุณ อย่างไรก็ตาม บางครั้งการบำบัดก็สร้างผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ ยกตัวอย่างเช่นการลดลงของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำให้คุณอ่อนไหวต่อการติดเชื้อรุนแรง
ผู้ที่ทำการบำบัดเคมีรักษามะเร็งเม็ดเลือดหรือมะเร็งไขกระดูกจะยิ่งมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อร้ายแรงมากกว่า เนื่องจากมะเร็งประเภทดังกล่าวได้ไปลดจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวก่อนการบำบัดแล้วนั่นเอง
อาการที่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่มีดังนี้:
- มีอุณหภูมิร่างกายสูงที่ 38 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า
- ตัวสั่น
- หายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอก
- มีอาการคล้ายเป็นหวัด อย่างเช่นปวดกล้ามเนื้อ
- เหงือกหรือจมูกมีเลือดออก
- เลือดออกจากส่วนอื่นของร่างกายที่ไม่ยอมหยุดไหลหลังจากกดแผลไปแล้ว 10 นาที
- ร้อนในที่ปากจนทำให้ดื่มหรือกินอะไรไม่ลง
- อาเจียนต่อเนื่อง แม้ว่าจะรับประทานยาแก้คลื่นไส้ไปแล้ว
- ลำไส้ใหญ่เคลื่อนตัวสี่ครั้งหรือมากกว่าภายในหนึ่งวัน หรือมีอาการท้องร่วง
ให้รีบติดต่อทีมผู้ดูแลของคุณในทันทีหากพบว่าคุณประสบกับอาการเหล่านี้ โดยทีมแพทย์ของคุณจะมอบวิธีการติดต่อฉุกเฉินที่คุณสามารถติดต่อพวกเขาได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เหนื่อยอ่อน
อาการเหนื่อยล้าเป็นผลข้างเคียงของการบำบัดเคมีที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยแทบทุกคนที่เข้ารับการบำบัดจะมีอาการนี้ ซึ่งจะเหนื่อยง่ายกว่าปกติแม้จะดำเนินกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ ก็ตาม ผู้รับการบำบัดต้องพักผ่อนให้มาก ๆ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่อยากทำหรือไม่มีความจำเป็น
สามารถทำการออกกำลังกายเบา ๆ ได้อย่างโยคะหรือเดินออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับพลังงานได้ แต่ต้องไม่หักโหมจนเกินไป หากคุณเป็นคนทำงาน ควรเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นพาร์ทไทม์แทน เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ซึ่งควรทำเช่นนี้จนกว่าการบำบัดเคมีของคุณจะเสร็จสิ้น
หากคุณมีอาการเหนื่อยล้าง่ายกว่าเดิมอย่างกะทันหันและมีอาการหายใจไม่สะดวกให้รีบติดต่อทีมรักษาของคุณทันทีเนื่องจากสัญญาณเหนื่อยล้ารุนแรงกับหายใจสั้นเป็นอาการของโรคโลหิตจาง
คลื่นไส้และอาเจียน
อาการคลื่นไส้และอาเจียนเป็นผลข้างเคียงของการบำบัดเคมีที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ทำการบำบัดเคมีจะมีอาการดังกล่าว
หากคุณประสบกับอาการเช่นนี้ แพทย์จะจ่ายยาที่ควบคุมอาการให้แก่คุณ ซึ่งยาตัวนี้จะเป็นยาแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนโดยเฉพาะ
ยาดังกล่าวสามารถให้แก่คนไข้ได้หลายวิธีการอย่างเช่น:
- เป็นยาแผงหรือแคปซูล: ซึ่งเป็นได้ทั้งแบบกลืนลงคอไปหรือวางไว้ใต้ลิ้นเพื่อให้ยาละลายไปเองก็ได้
- เป็นยาฉีดหรือยาหยด
- เป็นยาเหน็บ: ที่ใช้สอดเข้าทวารหนักเพื่อให้ยาละลายไปเอง
- หรือเป็นแผนปะบนผิว
- สามารถใช้ยาแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนได้เรื่อย ๆ แม้จะไม่เกิดอาการแล้วก็ตาม เพราะยาก็มีฤทธิ์ช่วยป้องกันไม่ให้คุณทรมานกับอาการเดิมซ้ำได้
- ผลข้างเคียงของการใช้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน อาทิเช่นท้องผูก อาหารไม่ย่อย นอนหลับยาก และปวดศีรษะ
- ยาแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนมีหลายชนิด ในกรณีที่การรับประทานยาตัวใดตัวหนึ่งแล้วไม่ได้ผลหรือยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงกับร่างกายคุณแรงเกินไป ทางแพทย์จะจ่ายยาอีกตัวให้แทน
ผมร่วง
อาการผมร่วงเป็นผลข้างเคียงของการบำบัดเคมีที่พบเห็นได้บ่อยกับการรักษาเคมีบางประเภท โดยมักจะเริ่มอาการเมื่อใช้ยาบำบัดเคมีโดสแรกหนึ่งถึงสามสัปดาห์ และผู้ป่วยส่วนมากจะมีผลร่วงรุนแรงหลังการรักษาเคมีหนึ่งถึงสองเดือน
ผมบนศีรษะจะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่อาการผม/ขนร่วงก็ยังสามารถเกิดกับส่วนอื่นของร่างกายได้เช่นกันอย่างแขน ขา และใบหน้า เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง การผมร่วงเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้หญิง ควรปรึกษาแพทย์หากรู้สึกกลัดกลุ้มกับปัญหานี้ ทีมแพทย์จะสามารถช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของคุณด้วยการให้แรงสนับสนุนและการปลอบประโลมให้คุณเกิดกำลังใจสู้กับโรคร้ายได้อย่างแน่นอน
การสูญเสียผมในช่วงการบำบัดเคมีเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น และผมของคุณจะงอกกลับมาใหม่หลังจากที่การบำบัดเสร็จสิ้นลง โดยผู้ป่วยมากกว่าสามจากสี่ส่วนเลิกใส่วิกหรือหมวกปิดศีรษะของพวกเขาหลังจากการบำบัดเสร็จสิ้นไปแล้ว 6 เดือนหลายคนที่เริ่มมีผมงอกกลับมาจะมีลักษณะผมที่ต่างไปจากเดิม ยกตัวอย่างเช่นบางคนอาจมีสีผมเปลี่ยนไป หรืออาจมีความหยิกงอมากกว่าเดิม เป็นต้น
หมวกทำความเย็น
ขณะที่ทำการบำบัดเคมี ผู้ป่วยสามารถป้องกันผลข้างเคียงที่เป็นการผมร่วงได้ด้วยการสวมใส่หมวกทำความเย็น โดยหมวกดังกล่าวจะมีหน้าตาคล้ายกับหมวกป้องกันการบาดเจ็บขณะปั่นจักรยานที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำความเย็นแก่หนังศีรษะของคุณขณะที่กำลังทำการบำบัดอยู่ การทำความเย็นที่หนังศีรษะจะช่วยลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยง ทำให้ลดปริมาณยาที่ส่งไปยังหนังศีรษะ
การตัดสินใจใช้วิธีการนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของมะเร็งที่กำลังทำการรักษาอยู่ ยกตัวอย่างมะเร็งที่ไม่จำเป็นต้องมีการใช้หมวกทำความเย็นเช่น:
- โรคลูคีเมียหลายประเภท: อย่างเช่นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดลิมโฟบลาสติก ซึ่งเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดชนิดหนึ่งซึ่งมักเกิดกับเด็ก
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลไมอิโลมา: ซึ่งเป็นมะเร็งที่โตภายในไขกระดูก
- โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจ์กิน: ซึ่งเป็นมะเร็งที่โตภายในระบบน้ำเหลือง (กลุ่มต่อมและท่อที่ช่วยในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ)
เซลล์มะเร็งประเภทดังกล่าวจะมีโอกาสแพร่ไปยังกะโหลกของคุณ ทำให้การทำความเย็นที่หนังศีรษะจะส่งผลอันตรายได้อีกทั้งหมวกทำความเย็นจะใช้ได้ผลกับการบำบัดเคมีรักษามะเร็งบางประเภทเท่านั้น และอาจไม่ได้ป้องกันการผมร่วงได้เสมอไป
โอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น
การบำบัดเคมีจะไปลดความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อของร่างกาย ทำให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการบำบัดเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว คุณต้องพยายามดูแลตัวเองไม่ให้เกิดการติดเชื้อจากการใช้ชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น:
- รักษาความสะอาดร่างกายให้ดี: อาบน้ำทุกวัน และสวมใส่เสื้อผ้า ใช้ผ้าเช็ดตัว และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่สะอาดตลอดเวลา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้ออยู่: อย่างเช่นผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสหรือไข้หวัด เป็นต้น
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดเป็นประจำ: โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเข้าห้องน้ำ หรือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
- พยายามอย่าสร้างบาดแผลหรือการถลอกที่ผิวหนัง: หากคุณมีแผลหรือมีการถลอกขึ้น ให้รีบล้างบริเวณที่เป็นด้วยน้ำอุ่น เป่าให้แห้ง และปิดบริเวณนั้นด้วยผ้าที่ฆ่าเชื้อแล้ว
- ระหว่างการทำบำบัดเคมี จะมีการตรวจเลือดเกือบทุกครั้ง เพื่อหาร่องรอยการติดเชื้อในร่างกายของคุณ
- ในบางกรณีคุณอาจถูกห้ามหรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าไปยังสถานที่ที่ผู้คนแออัดหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะที่มีผู้คนคับคั่งอีกด้วย
โลหิตจาง
การบำบัดเคมีจะไปลดปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงของคุณลง ซึ่งเซลล์เหล่านี้มีหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปทั่วร่างกาย หากเซลล์เม็ดเลือดน้อยลงเกินไป ร่างกายจะเริ่มขาดออกซิเจน และเริ่มแสดงอาการของโรคโลหิตจาง
อาการของโรคโลหิตจางมีดังนี้:
- เหนื่อยล้า โดยจะรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าผลข้างเคียงของการทำเคมีบำบัด
- ไม่มีแรง
- สายใจสั้น (อาการหายใจลำบาก)
- หัวใจเต้นผิดปรกติ
ให้ติดต่อทีมรักษาโดยด่วนหากคุณประสบกับอาการเหล่านี้ คุณอาจต้องเข้ารับการถ่ายเลือดเพื่อเพิ่มปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดง หรืออีกวิธีคือการรับยาที่ฮอร์โมนอีริโทโพทิน (EPO) ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง อีกทั้งการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กจะช่วยให้เม็ดเลือดขนส่งออกซิเจนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งตัวอย่างอาหารที่ประกอบด้วยธาตุเหล็กมีดังนี้:
- ผักใบเขียวเข้ม
- ขนมปังอบที่เสริมธาตุเหล็ก
- ถั่ว
- เนื้อ
- ผลแอปริคอต
- ลูกพรุน
- ลูกเกด เป็นต้น
การฟกช้ำและเลือดออก
การบำบัดเคมีทำให้ร่างกายคุณอ่อนไหวต่อการเกิดรอยฟกช้ำหรือมีเลือดออกเยอะได้ เช่น
- มีผิวหนังที่ช้ำง่าย
- เลือดกำเดาออก
- เลือดออกตามเหงือก
หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบติดต่อทีมรักษาของคุณโดยด่วน เนื่องจากอาจเป็นผลมาจากจำนวนเกล็ดเลือดที่ตกลง ซึ่งต้องรีบทำการถ่ายเลือดให้คุณทันที
เยื่อบุอักเสบ
ในบางกรณี การบำบัดเคมีก็ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดและอักเสบที่เนื้อเยื่ออ่อนของระบบย่อยอาหาร หรือตั้งแต่ช่องปากไปจนถึงทวารหนักได้
ผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับบำบัดคีโมที่ต้องใช้โดสสูงมักจะเจอกับปัญหาดังกล่าว โดยอาการเยื่อบุอักเสบนี้มักจะเริ่มหลังจากเริ่มการบำบัดแล้ว 7 ถึง 10 วัน หากเริ่มมีอาการ ภายในปากของคุณจะมีอาการปวดเมื่อยราวกับดื่มน้ำร้อนจัดมา อาจมีอาการร้อนในในช่องปากขึ้นมาได้ ซึ่งในบางกรณี ร้อนในอาจจะขึ้นไปยังลิ้นหรือรอบริมฝีปากได้อีกด้วย ร้อนในจะทำให้ผู้ป่วยไม่อยากอาหารเนื่องจากจะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดมาก ซึ่งแผลร้อนในอาจจะมีเลือดออกและติดเชื้อเพิ่มได้อีก อาการเยื่อบุอักเสบนี้มักจะหายไปเองหลังจากเสร็จสิ้นการบำบัดเคมีไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งระหว่างนั้นสามารถใช้ยาบรรเทาอาการเหล่านี้ร่วมได้
ไม่อยากอาหาร
แม้ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่อยากอาหารก็ตาม แต่ก็ต้องพยายามรับประทานอาหารและดื่มน้ำมาก ๆ อยู่ดี โดยอาจเปลี่ยนมาทานอาหารจานเล็ก ๆ แต่มีหลายมื้อแทนก็ทำได้ สำหรับการดื่มน้ำก็ใช้หลอดดูดช้า ๆ แทนการยกแก้วขึ้นมาจิบ
หากคุณมีภาวะไม่อยากอาหารรุนแรงเนื่องจากอาการในช่องปากอย่างการร้อนใน คุณอาจถูกจัดให้นอนที่โรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการจ่ายอาหารคุณผ่านสายยางแทน
ผิวหนังและเล็บ
การใช้ยาบำบัดเคมีบางอย่างทำให้ผิวหนังของคุณแห้งและปวด โดยเฉพาะบริเวณเท้าหรือมือของคุณ เล็บอาจแตกหรือหักง่ายกว่าปรกติในช่วงนี้ และจะมีวงเล็บสีขาวเกิดขึ้นมา
ระหว่างการบำบัด และช่วงเวลาหนึ่งหลังการรักษาเคมี ผิวหนังของคุณอาจอ่อนไหวต่อแสงอาทิตย์มากขึ้นทำให้คุณต้องพยายามป้องกันผิวหนังของคุณจากแดดให้ได้มากที่สุด
ความจำและสมาธิ
บางคนอาจมีปัญหากับความทรงจำระยะสั้น สมาธิ และการจดจ่อระหว่างการบำบัดเคมี โดยคุณจะรู้สึกว่าการทำกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ นั้นยากหรือยาวมากขึ้น ยังไม่มีสาเหตุมาอธิบายภาวะนี้แน่ชัด แต่อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นเองหลังจากการบำบัดเสร็จสิ้น
ปัญหากับการนอนหลับ
ปัญหาการนอนเป็นผลข้างเคียงของการบำบัดเคมีที่พบเห็นได้มาก โดยคาดว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดจำนวนครึ่งหนึ่งจะมีปัญหานี้
โดยปัญหาการนอนรวมไปถึงการนอนหลับยาก (โรคนอนไม่หลับ) และการตื่นขึ้นกลางดึกและนอนต่อไม่ลง
โดยแพทย์แนะนำให้คุณปฏิบัติตามนี้เพื่อช่วยการนอนของคุณ:
- เข้านอนก็ต่อเมื่อรู้สึกง่วงนอนจริง ๆ
- หากนอนไม่หลับ ให้ออกจากห้องนอนไปทำอย่างอื่นก่อน
- ให้ใช้ห้องนอนเฉพาะเวลานอนหลับหรือมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการงีบหลับช่วงกลางวัน หากทำไม่ได้ พยายามจำกัดเวลางีบให้เหลือเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการทานตัวกระตุ้นต่าง ๆ อย่างคาเฟอีน อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
หากคำแนะนำเหล่านี้ไม่ได้ผล ให้ติดต่อทีมแพทย์เพื่อรับการดูแลเพิ่มเติม โดยจะมีการบำบัดที่เรียกว่าการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT) ซึ่งมักรักษาโรคนอนไม่หลับที่เกิดจากการบำบัดเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
ความรู้สึกทางเพศและความเจริญพันธุ์
ผู้ป่วยหลายคนอาจจะหมดอารมณ์ทางเพศในช่วงที่รับการบำบัดเคมีไป แต่จะเป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น และความอยากทางเพศดังกล่าวจะค่อย ๆ กลับมาหลังจากกระบวนการบำบัดเสร็จสิ้นลง
การใช้ยาบำบัดเคมีบางตัวอาจทำให้ความสามารถในการตั้งท้องและการผลิตน้ำเชื้อสุขภาพดีหายไป ซึ่งเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็มีบางกรณีที่ภาวะนี้คงอยู่ถาวรแม้จะสิ้นสุดการบำบัดไปแล้วก็ตาม
หากคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นหมันถาวร ทางทีมแพทย์ของคุณจะชี้แจงความเสี่ยงข้อนี้ให้คุณพิจารณาก่อนเริ่มการบำบัด
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน มีกรรมวิธีเพื่อการสืบเชื้อสายทางเลือกมากมาย สำหรับผู้หญิงอาจทำการแช่แข็งไข่ไว้ และสำหรับผู้ชายก็สามารถทำการแช่แข็งตัวอย่างน้ำเชื้อเผื่อเอาไว้ เพื่อรอการปฏิสนธินอกร่างกาย เป็นต้น
ท้องร่วงและท้องผูก
คุณอาจมีอาการท้องผูกหรือท้องร่วงได้ไม่กี่วันหลังจากเริ่มการบำบัดเคมี โดยทีมแพทย์จะเตรียมแผนการใช้ยาสำหรับควบคุมผลข้างเคียงดังกล่าวไว้
ภาวะซึมเศร้า
การที่ต้องรับมือกับผลกระทบของการบำบัดเคมีเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด เครียด และชวนจิตตก จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ป่วยมักเกิดความกังวลและกลัวว่าการรักษาจะเป็นไปด้วยดีหรือไม่
ความเครียดและความกังวลสามารถเพิ่มโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้ ให้ทำการติดต่อทีมแพทย์หากคุณเริ่มมีปัญหาทางอารมณ์ขึ้นมา พวกเขาสามารถหาแนวทางเยียวยาความรู้สึกเหล่านั้นได้
การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้เข้าบำบัดเคมีก็สามารถช่วยได้ โดยการพูดคุยกับผู้ที่เผชิญกับปัญหาคล้าย ๆ กันจะช่วยให้คุณรู้สึกไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
การปฏิเสธหรือถอนตัวจากการบำบัด
ในบางกรณีคุณก็อาจรู้สึกว่าประโยชน์ของการบำบัดไม่คุ้มค่า หรือมีผลข้างเคียงที่ส่งผลไม่ดีต่อคุณภาพชีวิตของคุณ
ยกตัวอย่างเช่น หากการบำบัดเคมีนั้นไม่ได้ช่วยทำให้หายขาดจากมะเร็งได้ แต่เป็นเพียงการยืดเวลาชีวิตของคุณออกไปไม่กี่เดือนเท่านั้น โดยคุณคิดว่าเวลาไม่กี่เดือนที่เพิ่มมานั้นไม่คุ้มค่ากับการลงเงินลงแรงให้การรักษา
บางคนอาจแค่ต้องการยืดเวลาออกไปไม่กี่เดือนก็ยังดี เพราะกำลังรอการกำเนิดของหลาน หรือการแต่งงานของลูก ๆ ทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะต่อเวลาไปอีก เป็นต้น
มันจึงไม่มีคำตอบหรือคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดว่าควรทำหรือหยุดการบำบัดเคมี ทีมแพทย์ของคุณทำได้เพียงแต่ชี้แจงประโยชน์ที่และความเสี่ยงจะได้จากการรักษาเท่านั้น เพราะการตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่ที่ตัวคุณเอง
ด้วยเหตุเช่นนี้นี้มันจึงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างมากที่คุณต้องทำความเข้าใจกับทีมรักษา ครอบครัว เพื่อนสหาย และบุคคลผู้เป็นที่รักก่อน คุณมีสิทธิ์เลือกหยุดหรือปฏิเสธการรักษาได้ตลอดเวลา
การเลือกหยุดการบำบัดเคมีไม่ได้หมายความว่าทีมแพทย์จะหยุดรักษาอาการของคุณไปโดยปริยาย พวกเขายังคงคอยสนับสนุนคุณตลอดทั้งการจ่ายยาแก้ปวดหรือทางจิตใจ ซึ่งจะเรียกการดูแลประเภทนี้ว่าการเยียวยาประคับประคอง
หากคุณรู้สึกว่าชีวิตคุณอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ก็สามารถเข้ารับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้