กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

ภาวะหัวใจวาย (Heart attack)

ภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว! อ่านอาการ สาเหตุ วิธีรักษาภาวะหัวใจวายได้ที่นี่
เผยแพร่ครั้งแรก 17 เม.ย. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
ภาวะหัวใจวาย (Heart attack)

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • รายงานจากสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย พ.ศ 2560 พบว่า ทุกชั่วโมงจะมีคนไทยเสียชีวิตจากหัวใจวายเฉียบพลัน 2 คน ส่วนใหญ่เกิดจากหัวใจขาดเลือดรุนแรงจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • อาการหัวใจวายที่พบบ่อย ได้แก่ มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจไม่ทัน ใจสั่น เหนื่อยง่ายกว่าปกติ เหงื่อออกมาจนรู้สึกหนาว
  • สาเหตุหัวใจวายที่พบบ่อย ได้แก่ ความผิดปกติภายในหัวใจ มีโรคเกี่ยวกับหัวใจ เป็นโรคในกลุ่ม NCDs เช่น เบาหวาน มีการติดเชื้ออย่างรุนแรง มีความเครียดสูง พักผ่อนไม่เพียงพอ ออกกำลังกายเกินกำลัง
  • หัวใจวายเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและถูกวิธี อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
  • หากไม่แน่ใจว่า "คุณเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายหรือไม่" ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญโดยตรง 
  • ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพและหัวใจได้ที่นี่

ภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจวายเฉียบพลัน จัดเป็นภัยเงียบอันดับต้นๆ ที่พร้อมคร่าชีวิตผู้คนได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่รู้ตัวว่า ตนเองตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยง มีปัจจัยเสี่ยง และได้รับปัจจัยกระตุ้นอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 

ภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจวายเฉียบพลัน

หัวใจวาย (Heart Attack) หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หมายถึง ภาวะที่หัวใจหยุดการทำงาน หยุดบีบตัวส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ เนื่องจากมีลิ่มเลือดไปอุดต้นในหลอดเลือดหัวใจอย่างฉับพลัน ภาวะดังกล่าวส่งผลให้อวัยวะต่างๆ หยุดทำงานไปด้วย 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ภาวะหัวใจวายนี้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

อาการหัวใจวาย หรือหัวใจวายเฉียบพลัน

  • มีอาการเจ็บ แน่นหน้าอก รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาบีบหัวใจ ในขณะที่กำลังออกแรง หรือเครียด

  • มีอาการเจ็บที่อกซึ่งสามารถปวดแล่นไปยังแขน (โดยเฉพาะแขนซ้าย) กราม คอ แผ่นหลัง และท้อง

  • หายใจลำบาก หายใจไม่ทัน

  • ใจสั่น หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

  • เหงื่อออกมากจนรู้สึกหนาว ตัวเย็น

  • หน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน

  • เหนื่อยง่ายกว่าปกติ แม้ไม่ได้ออกแรงอยู่เฉยๆ ก็ยังเหนื่อย

  • นอนราบไม่ได้เลยเพราะเหนื่อย

  • ขาและเท้าบวม เนื่องจากมีน้ำและเกลือแร่คั่งในร่างกายมาก 

สาเหตุการเกิดภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจวายเฉียบพลัน

  • หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบอย่างฉับพลัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

  • มีระดับคอเลสเตอรอลสูง ทำให้ไขมันสะสมอยู่บนเยื่อบุของหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น จึงเสี่ยงต่อการอุดตัน หรือตีบ

  • มีระดับความดันโลหิตสูง (Hypertension) ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้น และต้องทำงานหนักมากขึ้น

  • มีโรค หรือความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจอยู่ก่อน เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคลิ้นหัวใจตีบ หรือรั่ว โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ หรือเต้นผิดจังหวะ

  • โรคเบาหวาน และไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยได้ จะทำให้หลอดเลือดมีโอกาสเสียหายมากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อระดับความดันโลหิต

  • มีการติดเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง

  • นอนกรน หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ

  • มีความเครียด หรือมีความกดดันสูง

  • พักผ่อนน้อย หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ

  • สูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากๆ หรือใช้สารเสพติดปริมาณมากๆ เช่น โคเคน แอมเฟตามีน ส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น

  • พฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น ของทอด ของมัน

  • ไม่ได้ออกกำลังกาย

  • ออกกำลังกายอย่างหักโหม เกินกำลัง

  • มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน หรืออ้วน 

  • คนในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ

การวินิจฉัยภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจวายเฉียบพลัน

  • ซักประวัติและอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด

  • การประเมินความดันโลหิตและระดับออกซิเจนในเลือด

  • การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับ ไต ต่อมไทรอยด์ ระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด รวมทั้งระดับสารเคมีในเลือด (NT-proBNP) ซึ่งสามารถบ่งชี้ภาวะหัวใจวายได้

  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เพื่อตรวจดูความเสียหายที่กล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อแพทย์ได้ค่า ECG จะสามารถระบุประเภทของภาวะหัวใจวายได้ว่า เป็นการอุดตันโดยสมบูรณ์ (ST Elevation Myocardial Infarction: STEMI) หรือเป็นการอุดตันบางส่วน ยังคงมีเลือดบางส่วนไหลได้อยู่ (Non ST Elevation Myocardial Infarction: NSTEMI)

  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echo) เพื่อหาความผิดปกติต่าง ๆ ของหัวใจ เช่น ขนาดของหัวใจ การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ

  • การเอ็กซเรย์ทรวงอก เพื่อให้เห็นลักษณะของปอดและหัวใจว่า มีความผิดปกติ หรือไม่ เช่น มีน้ำท่วมปอด มีอากาศขังอยู่ระหว่างชั้นเยื่อหุ้มของปอดหรือไม่

  • การสวนหัวใจ หรือการฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac catheterization or Coronary angiogram)เพื่อประเมินว่า หลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรือตัน หรือไม่ ความสามารถในการทำงานของลิ้นหัวใจเป็นอย่างไร

วิธีปฐมพยาบาลภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน

ผู้มีภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หากได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกวิธีและรวดเร็วทันเวลา จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้มาก ดังนั้นผู้ที่ไปพบผู้ป่วยเป็นคนแรกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ขั้นตอนการปฐมพยาบาลดังนี้

  • เรียก หรือเขย่าตัวผู้ป่วย เพื่อเช็คว่า ยังมีอาการตอบสนอง หรือไม่ 

  • หากผู้ป่วยมีอาการชักกระตุก หรือเกร็ง หายใจเฮือก ให้สันนิษฐานว่า ผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน หรือหัวใจวาย

  • แจ้งขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ชีพ หรือโรงพยาบาลใกล้เคียง หรือสายด่วน โทร 1669

  • ปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานด้วยการนวดหัวใจ หรือทำซีพีอาร์ (CPR) เพื่อให้หัวใจบีบเลือดออกไปเลี้ยงร่างกาย เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้ (ควรทำซีพีอาร์ภายใน 4 นาที หลังผู้ป่วยหยุดหายใจ)

  • หากมีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า หรือเออีดี (Automated External Defibrillator: AED) สามารถนำมาใช้กระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นปกติได้ การใช้เครื่องนี้ยังสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากถึง 70% อย่างไรก็ตาม ควรใช้เครื่อง AED ภายใน 3-5 นาที ระหว่างที่ทำ CPR เพื่อไม่ให้สมองขาดเลือดนานเกินไป


  • ระหว่างที่เริ่มติดตั้งแผงไฟฟ้าของเครื่อง AED รอเครื่องวัดชีพจร และรอเครื่องออกคำสั่งต่อไปนั้น ผู้ช่วยเหลือควรต้องปั๊มหัวใจและให้ออกซิเจนผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องจนกว่าเครื่องจะออกคำสั่งให้เริ่มช็อตหัวใจด้วยไฟฟ้า

  • เมื่อพ้นภาวะวิกฤต ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์เฉพาะทาง ทันที เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาต่อไป

แนวทางการรักษาภาวะหัวใจวาย

แนวทางการรักษาภาวะหัวใจวาย จะขึ้นอยู่กับประเภทของภาวะหัวใจวายที่คุณประสบ โดยมีจุดมุ่งหมายในการรักษาดังนี้

  • การบรรเทาอาการเจ็บปวดและภาวะช็อค มีทั้งการฉีดยาแก้ปวดชนิดแรงอย่างมอร์ฟีน เพื่อช่วยให้การหายใจผ่อนคลายลงและลดความวิตกกังวลลง การบำบัดด้วยออกซิเจนเพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนให้เพียงพอ และการใช้ยาหยุดอาการคลื่นไส้

  • การฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดและลดปริมาณความเสียหายที่กล้ามเนื้อหัวใจ (Reperfusion)

วิธีรักษาภาวะหัวใจวาย

การบำบัดต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet therapy) 

การใช้ยาที่ช่วยทำให้เลือดจางเพื่อไม่ให้เกิดการเกาะตัวกันเป็นลิ่ม หลังจากนั้นจะเริ่มกระบวนการกำจัดลิ่มเลือดที่เข้าไปอุดตันในหลอดเลือดหัวใจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเป็นวิธีรักษาที่ใช้ได้กับทั้งการอุดตันโดยสมบูรณ์ STEMI และการอุดตันบางส่วน NSTEMI

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

การรักษาไหลเวียนกลับ (Reperfusion) 

จุดประสงค์คือ ลดความเสียหายที่อาจเกิดกับกล้ามเนื้อหัวใจและรักษาการสูบฉีดของหัวใจไว้ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Percutaneous Coronary Intervention: PCI) 

วิธีนี้ทำได้โดยการใส่ "สายสวนซึ่งมีบอลลูนติดอยู่ที่ปลายสาย" เข้าไปดันไขมันที่อุดตันหลอดเลือดและทำให้ลิ่มเลือดหลุดออกไป เลือดจะได้ไหลเวียนสะดวกมากขึ้น ในบางรายแพทย์ยังอาจดูดลิ่มเลือดออกและใส่ขดลวดเพื่อป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดไปอุดตันบริเวณส่วนปลายของหลอดเลือดอีก 

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีหลอดเลือดตีบหลายเส้น ไม่เหมาะกับการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน แพทย์อาจใช้วิธีผ่าตัดนำหลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย มาทำเป็นทางเบี่ยงเพื่อให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจได้ โดยไม่ต้องผ่านเส้นเลือดที่ตีบ หรือตันแล้วนั่นเอง หรือที่เรียกว่า “การผ่าตัดบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass: CABG)” แทน

การรักษาด้วยยาสลายลิ่มเลือด 

ฉีดยาออกฤทธิ์ละลาย หรือสลายลิ่มเลือดโดยตรง ผ่านทางหลอดเลือดดำ ยาชนิดนี้จะสลายลิ่มเลือดออก หรือกระตุ้นให้ร่างกายสลายลิ่มเลือดได้เร็วกว่าปกติ ทำให้การไหลเวียนเลือดสู่หัวใจกลับมาสู่สภาวะปกติ ทั้งนี้การรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลดี หากผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลเร็วและได้รับการรักษาทันที

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

หลังการรักษาภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือภาวะหัวใจวาย แล้วนั้น นอกจากผู้ป่วยต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลราว 2-3 วัน เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ไตวาย ตับวาย แล้ว แพทย์ยังอาจแนะนำให้ตรวจหัวใจเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาการรักษาขั้นต่อไป

หลังจากกลับบ้านผู้ป่วยยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดดังนี้ 

  • การใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง 
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 
  • การหลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ มันๆ รสเค็ม 
  • การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 
  • การพักผ่อนอย่างเหมาะสม 
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
  • การงดสูบบุหรี่และสารเสพติด
  • การออกกำลังกายอย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี และที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำอีก

สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคร่วม เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคไตวาย ควรให้ความใส่ใจในการควบคุมโรคให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจวายเฉียบพลัน

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะหัวใจวาย

  • ผู้ป่วยส่วนมากจะรอดชีวิตจากภาวะหัวใจวาย และสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างดี
  • หัวใจเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างกาย โดยหัวใจจะคอยฟื้นฟูตนเองอยู่ตลอดเวลา
  • ความเครียด อาการช็อค หรือความรู้สึกตกใจ ไม่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจและสมรรถภาพหัวใจ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


18 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป