เกี่ยวกับอาการเจ็บคอ
อาการเจ็บคอ (Sore throats) คือภาวะที่พบได้บ่อยและไม่น่ากังวลใด ๆ ส่วนมากอาการนี้จะหายได้เองภายในหนึ่งสัปดาห์
อาการเจ็บคอส่วนมากเกิดจากโรคชนิดไม่รุนแรงต่าง ๆ อย่างไข้และหวัดที่สามารถรักษาเองที่บ้านได้ง่าย ๆ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อาการแทรกซ้อน หรือโรคที่อาจเกิดต่อเนื่อง
อาการเจ็บคอมักเป็นอาการเริ่มต้นของ:
- ไข้หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ : คุณอาจมีอาการคัดจมูกหรือจมูกตัน ไอ มีไข้สูง ปวดศีรษะ และปวดเนื้อตามตัวร่วมด้วย
- ภาวะกล่องเสียงอักเสบ (laryngitis) : คุณอาจมีอาการเสียงแหบ ไอแห้ง และมีความรู้สึกอยากขับเสลดตลอดเวลา
- ภาวะทอนซิลอักเสบ (tonsillitis) : คุณอาจมีไข้ ร่วมกับพบว่าต่อมทอนซิลแดงหรือมีจุดบนทอนซิล มีความไม่สบายขณะกลืน
- คออักเสบ (การติดเชื้อแบคทีเรียที่คอ) : คุณอาจมีต่อมในคอบวม มีความไม่สบายขณะกลืน และมีภาวะทอนซิลอักเสบ
- โรคไข้และต่อมน้ำเหลืองโต (glandular fever) : คุณอาจมีอาการเหน็ดเหนื่อยรุนแรง มีไข้ และมีต่อมในคอบวมโต
อาการนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ จากบางสิ่งที่ไปสร้างความระคายเคืองแก่ลำคอของคุณ เช่น ฝุ่น ควัน โรคกรดไหลย้อน (gastro-oesophageal reflux disease) และภูมิแพ้ เป็นต้น
นอกจากนี้ อาการเจ็บคอยังอาจเป็นสัญญาณที่เกิดขึ้นไม่บ่อยของโรคภัยไข้เจ็บต่อไปนี้
- ฝีที่หลังลำคอ (quinsy) : ความเจ็บปวดที่เกิดจากฝีนี้ อาจมีความรุนแรงจนทำให้กลืนลำบากได้
- ภาวะฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ (epiglottitis) : ความเจ็บปวดที่เกิดจากภาวะนี้อาจมีความรุนแรงจนทำให้หายใจหรือกลืนลำบาก
ภาวะเหล่านี้มีความรุนแรงค่อนข้างมาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีที่คุณมีสัญญาณดังกล่าว
สาเหตุของอาการเจ็บคอ
สาเหตุของอาการเจ็บคอมักจะไม่ชัดเจน แต่ส่วนมากแล้วมักเกิดจากภาวะติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส อย่างเช่น ไข้หวัด
ประเภทการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอและพบได้มากที่สุด มีดังนี้:
- เชื้อไรโนไวรัส (rhinovirus) โคโรนาไวรัส (coronavirus) และไวรัสพาราอินฟูลเอนซา (parainfluenza) ที่มักทำให้เกิดหวัดทั่วไป : ไวรัสเหล่านี้เองที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอ
- แบคทีเรีย streptococcal ชนิดต่างๆ : แบคทีเรีย streptococcal กลุ่ม A ทำให้เกิดอาการเจ็บคอในผู้ใหญ่ที่ 10% และในเด็กมากกว่า 1 ใน 3 ส่วนกลุ่ม C กับ G ก็ถูกคาดว่าเป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอเช่นกัน
แบคทีเรียและไวรัสประเภทอื่น ๆ ที่เป็นต้นเหตุของอาการเจ็บคอและพบได้น้อยกว่า 5% มีดังนี้:
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A และ B
- อะดีโนไวรัส (adenovirus) : ไวรัสที่ทำให้เกิดภาวะเยื่อตาอักเสบ (conjunctivitis)
- ไวรัส herpes simplex ชนิด 1 : สาเหตุของโรคเริม (cold sores)
- Epstein-Barr virus (EBV) : สาเหตุของโรคไข้และต่อมน้ำเหลืองโต (glandular fever)
ส่วนแบคทีเรียและไวรัสหายากชนิดอื่นๆ นั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอน้อยกว่า 1%
สาเหตุจากการติดเชื้อ
แบคทีเรียหรือไวรัสที่เป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอนั้น มักจะมาจากการติดเชื้อจากผู้ที่กำลังมีเชื้ออยู่ ยกตัวอย่างเช่น การติดหวัดจากละอองสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่มาจากการไอ จาม หรือการพูดคุย
หากคุณหายใจนำละอองเหล่านี้เข้าไป หรือสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แล้วนำมือเปื้อนเชื้อไปสัมผัสใบหน้าตนเอง คุณก็มีโอกาสติดเชื้อได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เมื่อคุณติดเชื้อ จะเกิดอาการเจ็บคอขึ้นสองประเภท ดังนี้
- ภาวะผนังช่องคออักเสบ (pharyngitis) : พื้นที่บริเวณหลังช่องคอของคุณเกิดการอักเสบ
- ทอนซิลอักเสบ (tonsillitis) : ต่อมทอนซิล (ก้อนเนื้อเยื่อที่อยู่ขนาบข้างลำคอสองด้าน) เกิดการอักเสบ
สาเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
เป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอที่พบเห็นไม่บ่อย มีดังนี้
- อาการระคายเคืองจากควันบุหรี่หรือแอลกอฮอล์
- อาการระคายเคืองจากการสอดสายยางกระเพาะอาหาร (nasogastric tube) (สอดผ่านจมูกเข้าไปยังกระเพาะอาหาร เพื่อป้อนอาหารเหลวเข้าไปในกรณีที่คุณไม่สามารถทานอาหารแข็งได้)
- โรคกรดไหลย้อน (gastro-oesophageal reflux disease) : ภาวะที่ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นจากกระเพาะไปยังหลอดอาหาร
- กลุ่มอาการ Stevens-Johnson : เป็นปฏิกิริยาจากการแพ้ยารุนแรงมาก
- โรค Kawasaki : ภาวะหายากที่ส่งผลต่อเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
- ภูมิแพ้ : เช่น ไข้ละอองฟาง (hay fever) (ปฏิกิริยาแพ้ละอองเกสรหรือสปอร์) ในกรณีหายากอาจทำให้เกิดอาการเจ็บคอ
- ภาวะเลือดผิดปกติ เช่น ลิวคีเมีย (leukaemia) (มะเร็งไขกระดูก) หรือโรคโลหิตจางจากกระดูกฝ่อ (aplastic anaemia) (ภาวะที่ไขกระดูกไม่สามารถผลิตเซลล์เลือดได้เพียงพอ)
- ภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบ (oral mucositis) ที่เกิดจากการทำรังสีบำบัดหรือเคมีบำบัด
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
คุณไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์เมื่อมีอาการเจ็บคอ ยกเว้นในกรณีที่เกิดสิ่งต่อไปนี้
- คุณมีอาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการดูแลตนเอง
- คุณมีอาการเจ็บคอเรื้อรังที่ไม่ทุเลาลงหลังผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์
- คุณประสบกับอาการเจ็บคอบ่อยครั้ง
- คุณมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ : ยกตัวอย่างเช่น มีเชื้อ HIV กำลังเข้ารับการทำเคมีบำบัด หรือกำลังใช้ยากดภูมิคุ้มกันอยู่
นอกจากนี้ คุณควรไปแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (A&E) ในโรงพยาบาลทันทีหากเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
- อาการของคุณรุนแรงหรือทรุดลงเร็วมาก
- คุณมีอาการหายใจลำบาก
- ขณะหายใจมีเสียงหวีดสูงออกมา
- คุณมีอาการกลืนอาหารลำบาก
- คุณเริ่มมีน้ำลายไหล
การรักษาอาการเจ็บคอ
อาการเจ็บคอมักไม่ใช่ภาวะร้ายแรง และมักจะหายไปเองภายใน 3-7 วัน โดยระหว่างนี้คุณสามารถบรรเทาอาการเองได้ที่บ้าน โดย:
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือพาราเซตามอล (paracetamol) : ยาพาราเซตามอลจะเหมาะสำหรับเด็กและผู้ที่ไม่สามารถรับประทานยาไอบูโพรเฟน (เช่น ผู้ที่เป็นหอบหืด ผู้ที่มีปัญหากับกระเพาะอาหาร และผู้ที่มีปัญหากับตับ) โดยปฏิบัติตามคู่มือหรือฉลากยาเพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาด
- ดื่มน้ำอุ่นมากๆ ให้เพียงพอ แต่ต้องเลี่ยงการดื่มน้ำที่ร้อนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้น
- ทานอาหารที่นิ่ม และอุ่นหรือเย็น
- เลี่ยงการสูบบุหรี่และอยู่ในที่ที่มีควัน
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือบ้วนปากอุ่น ๆ ที่ทำเอง
- อมยาอม ลูกอม หรือน้ำแข็ง : ไม่ควรให้เด็กเล็กอมของที่มีชิ้นเล็กและอมยาก เพราะอาจทำให้พวกเขาสำลัก
ผลิตภัณฑ์ประเภทลูกอมยาและสเปรย์สำหรับอาการเจ็บคอที่วางขายตามร้านขายยา ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าสามารถบรรเทาอาการเจ็บคอได้จริง แต่หากคุณต้องการจะลองก็สามารถทำได้
ส่วนยาปฏิชีวนะ มักไม่ได้ถูกนำมาใช้รักษาอาการเจ็บคอ แม้ว่าจะเป็นอาการที่มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เพราะยากลุ่มนี้มักไม่ทำให้คุณฟื้นตัวเร็วขึ้น และยังทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์มากมาย
ยาปฏิชีวนะมักจะนำมาใช้รักษาอาการเจ็บคอก็ต่อเมื่อ:
- อาการเจ็บคอของคุณมีความรุนแรงเป็นพิเศษ
- คุณมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง : ยกตัวอย่างเช่น คุณมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากเชื้อ HIV หรือเบาหวาน (diabetes)
- คุณมีความเสี่ยงที่อาจจะมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ : จากการได้รับยาที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน เช่น carbimazole ที่ใช้รักษาภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน
- คุณมีประวัติเป็นโรคไข้รูมาติก (rheumatic fever) (ภาวะที่ทำให้การอักเสบลุกลามไปทั่วร่างกาย)
- คุณเป็นโรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) (โรคที่ส่งผลต่อลิ้นหัวใจที่ใช้ควบคุมการไหลเวียนโลหิต)
- คุณมีประวัติติดเชื้อซ้ำซากจากแบคทีเรีย streptococcus กลุ่ม A
หากแพทย์คาดว่าคุณจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แพทย์อาจจะจัดยาให้ได้ แต่ต้องขอให้คุณรออย่างน้อยสามวันเพื่อดูว่าอาการของคุณดีขึ้นหรือไม่
การใช้วิธีให้ยาปฏิชีวนะล่าช้า จะให้ผลไม่ต่างกับการใช้ยาแบบทันที แต่คุณต้องเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อไม่จำเป็นจริง ๆ เพื่อป้องกันการดื้อยา
การรักษาอาการเจ็บคอโดยแพทย์
หากคุณมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- การตัดต่อมทอนซิล (tonsillectomy) : หากคุณมีภาวะติดเชื้อที่ต่อมทอนซิลซ้ำซาก แพทย์อาจพิจารณาการตัดต่อมทอนซิลออก
- หากคุณมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง (ครั้งหนึ่งแต่ยาวนานมาก 3-4 สัปดาห์) : แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้ารับการทดสอบเพิ่มเติม เนื่องจากอาการเจ็บคอนี้อาจเป็นอาการของภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้ ดังนี้
- โรคไข้และต่อมน้ำเหลืองโต : หากคุณมีอายุ 15-25 ปีที่มีอาการเจ็บคอเรื้อรังคุณอาจเป็นโรคไข้และต่อมน้ำเหลืองโตได้ (glandular fever, infectious mononucleosis หรือ mono)
- มะเร็ง : อาการเจ็บคออาจเป็นอาการของมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งลำคอ โดยมะเร็งประเภทนี้นับว่าหายาก และมักเกิดกับผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี
- การสูบบุหรี่ : การเลิกสูบบุหรี่ จะลดการระคายเคืองในลำคอ และเพิ่มระดับการป้องกันภาวะติดเชื้อของร่างกายขึ้น ซึ่งแพทย์สามารถช่วยเหลือในเรื่องการเลิกบุหรี่ของคุณได้ด้วย
การป้องกันอาการเจ็บคอ
อาการเจ็บคอมักเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย จึงเป็นการยากที่จะทำการป้องกัน
แต่หากคุณมีอาการเจ็บคอจากการติดเชื้อ คุณสามารถป้องกันการแพร่เชื้อได้ ด้วยการดูแลความสะอาด เช่น ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ และทำความสะอาดพื้นผิวสิ่งของให้ปลอดเชื้อโรคอยู่เสมอ