4 ขั้นตอนในการดูแลรักษาโรคเบาหวาน

การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตาม 4 ขั้นตอนนี้
เผยแพร่ครั้งแรก 19 ธ.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 12 พ.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
4 ขั้นตอนในการดูแลรักษาโรคเบาหวาน

การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตาม “4 ขั้นตอนการดูแลรักษาโรคเบาหวาน” อย่างเป็นระบบ การเรียนรู้และทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอน จะช่วยให้คุณควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้

ขั้นตอนที่ 1 เรียนรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานมีอยู่ 3 ชนิดหลัก ได้แก่

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้ ร่างกายจะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้ ทำให้เกิดปัญหา เพราะไม่มีตัวช่วยในการนำน้ำตาลกลูโคสในเลือดแปลงเป็นพลังงานเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย  ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่  1 จะต้องได้รับยาฉีดอินซูลินทุกวันเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคเบาหวานประเภทนี้ ร่างกายจะไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอ หรือนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ หรือไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะต้องได้รับยารับประทานรักษาโรคเบาหวาน หรือยาฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด  โรคเบาหวานชนิดนี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ผู้หญิงบางคนจะเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้ขณะตั้งครรภ์ แต่ส่วนใหญ่จะหายจากโรคนี้เมื่อคลอดลูก แต่ว่าผู้หญิงที่เป็นโรคนี้ และลูกที่คลอดออกมา จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้

คุณคือคนสำคัญที่มีส่วนในการดูแลรักษา

แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีในการดูแลตนเอง เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง นอกจากแพทย์แล้ว ยังมีทีมดูแลสุขภาพอื่นๆ ที่จะคอยช่วยเหลือคุณ ได้แก่ ทันตแพทย์ แพทย์โรคเบาหวาน นักโภชนาการ จักษุแพทย์ (หมอตา) แพทย์ตรวจเท้า เพื่อนและครอบครัว จิตแพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล และเภสัชกร

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ศูนย์ดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วย-ผู้สูงอายุวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 495 ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อทำให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพสูงสุด

โรคเบาหวานเป็นโรคร้ายแรง

บางครั้งคุณอาจได้ยินคนพูดว่า “โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ร้ายแรง” หรือ “น้ำตาลสูงนิดเดียว” จนทำให้รู้สึกว่าโรคเบาหวานไม่ใช่โรคร้ายแรง นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะผลกระทบจากการไม่ควบคุมโรคเบาหวานสามารถทำให้เสียชีวิตได้ และอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไตวาย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

ผู้ป่วยโรคเบาหวานจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของการมีสุขภาพที่ดี เคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานยา หรือใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

ทำไมถึงต้องดูแลรักษาโรคเบาหวาน

การดูแลตนเอง ควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนทั่วไป เช่น

  • รู้สึกมีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ
  • ไม่ค่อยอ่อนเพลีย หรือเหนื่อยง่าย
  • ปัสสาวะออกเหมือนปกติ (ผู้ป่วยเบาหวานจะปัสสาวะค่อนข้างบ่อยกว่าปกติ)
  • แผลหายเร็ว
  • ไม่ค่อยติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือกระเพาะปัสสาวะ

นอกจากนี้ ยังช่วยให้คุณมีความเสี่ยงต่ำต่อปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคเบาหวาน เช่น

  • หัวใจวาย หรือ โรคหลอดเลือดสมอง
  • ปัญหาที่ตา ทำให้การมองเห็นไม่ชัด หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอด
  • ปวด ชา ที่มือ เท้า ซึ่งหมายถึงเส้นประสาทถูกทำลาย
  • ปัญหาที่ไต ซึ่งอาจทำให้ไตหยุดการทำงาน
  • ปัญหาโรคเหงือกและฟัน

ขั้นตอนที่ 2 เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการ ABCs

หลักการ ABCs ประกอบไปด้วย การควบคุมระดับน้ำตาลสะสม (A1C) ระดับความดันโลหิต (Blood pressure) และระดับไขมันคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ของเบาหวาน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ศูนย์ดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วย-ผู้สูงอายุวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 495 ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

A: A1C test หรือการตรวจระดับน้ำตาลสะสม

ระดับน้ำตาลสะสม หรือ A1C คือระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดในช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแตกต่างจากค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่คุณตรวจทุกวัน การตรวจระดับน้ำตาลสะสมจะทำให้คุณรู้ค่าระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

เป้าหมายของระดับน้ำตาลสะสม คือ น้อยกว่า 7% แต่ว่าบางคนอาจจะแตกต่างไปจากนี้ได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งว่าเป้าหมายของคุณคือเท่าใด

B: Blood pressure (ระดับความดันโลหิต)

ความดันโลหิต คือแรงของเลือดที่กระทำต่อผนังของหลอดเลือด ถ้าความดันโลหิตสูงกว่าปกติ จะทำให้หัวใจทำงานหนัก และทำให้เกิดหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลเสียต่อไต และดวงตาอีกด้วย

เป้าหมายในการควบคุมความดันโลหิตในผู้ป่วยเบาหวานโดยทั่วไป คือ น้อยกว่า 140/90  แต่ว่าบางคนอาจมีเป้าหมายที่แตกต่างกันได้ จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทราบค่าเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวคุณ

C: Cholesterol (ระดับไขมันคอเลสเตอรอล)

ไขมันคอเลสเตอรอลมีอยู่ 2 ชนิด คือ แอลดีแอล (LDL) และ เอชดีแอล (HDL)

  • LDL หรือ “ไขมันเลว” เป็นไขมันคอเลสเตอรอลที่สามารถทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองตามมาได้
  • HDL หรือ “ไขมันดี” เป็นไขมันที่จะช่วยกำจัดไขมันเลวออกจากเส้นเลือดของคุณ

เป้าหมายในการควบคุม LDL และ HDL ให้สอบถามจากแพทย์เพื่อหาเป้าหมายในการควบคุมที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ถ้าคุณมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป อาจจำเป็นต้องได้รับยาลดไขมัน กลุ่มสะแตติน (Statin)  เพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง

ขั้นตอนที่ 3 เรียนรู้วิธีในการอยู่กับโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มักจะรู้สึกเศร้า เสียใจ หรือโกรธ จากปัญหาเกี่ยวกับความเข้มงวดในการทำตามแผนการรักษาที่ต้องทำเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป 

การรับมือกับโรคเบาหวาน

  • ความเครียดจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น  จึงขอแนะนำวิธีการจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น คือ พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ หาเวลาว่างไปทำสวน เดินเล่น นั่งสมาธิ ทำงานอดิเรก หรือฟังเพลงที่ชอบ อะไรก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกสบายใจ
  • หากรู้สึกซึมเศร้า แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์ เพื่อน หรือคนในครอบครัว พวกเขาเหล่านั้นพร้อมจะรับฟังและช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น

การรับประทานอาหารที่ดี

  • วางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานร่วมกับทีมแพทย์ที่ดูแลรักษา
  • เลือกอาหารที่มีพลังงานต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานซ์ น้ำตาล และเกลือ
  • รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักต่างๆ
  • เลือกรับประทานอาหาร เช่น ผลไม้ไม่หวานจัด ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด ขนมปังโฮลวีท นมไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย และชีส
  • ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำผลไม้ หรือน้ำโซดา

การออกกำลังกาย

  • ตั้งเป้าหมายของการออกกำลังกาย หรือการเคลื่อนไหวร่างกายที่มากขึ้น โดยให้มีจำนวนวันต่อสัปดาห์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในช่วงแรกให้เริ่มจากการเดิน 10 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ และค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • ออกกำลังกายโดยการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่น ยางยืดออกกำลังกาย โยคะ วิดพื้น ทำสวนหนัก เช่น ขุดดิน หรือปลูกต้นไม้ด้วยเครื่องมือ
  • ควบคุมหรือลดน้ำหนักตัวให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมเพื่อให้มีสุขภาพดี โดยการรับประทานอาหารตามแผนที่กำหนด และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย

สิ่งที่ต้องทำทุกวัน

  • รับประทานยา หรือใช้ยารักษาโรคเบาหวาน ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แม้ว่าคุณจะรู้สึกสบายดีก็ตาม  แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หากคุณต้องการยาแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมอง  คุณต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ หากไม่สามารถจ่ายค่ายา หรือเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา
  • ตรวจเท้าทุกวันว่า มีบาดแผล หรือจุดบวมแดงไหม หากมีแล้วแผลไม่สามารถหายได้เอง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
  • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวันเพื่อรักษาสุขภาพช่องปาก ฟัน และเหงือก
  • เลิกบุหรี่
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองทุกวัน ซึ่งอาจมากกว่าวันละ 1 ครั้ง และจดบันทึกระดับน้ำตาลทุกครั้ง และเมื่อไปพบแพทย์ตามนัด ให้นำบันทึกระดับน้ำตาลนี้ไปให้แพทย์ดูด้วย
  • วัดระดับความดันโลหิต ถ้าแพทย์แนะนำให้คุณวัด และจดบันทึกทุกครั้ง

พูดคุยกับทีมแพทย์ที่ดูแล

  • สอบถามแพทย์ที่ดูแลรักษา หากมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวาน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากสุขภาพของคุณมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม
  • สอบถามทีมแพทย์เกี่ยวกับการวางแผนรับประทานอาหารสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับโรคเบาหวาน
  • สอบถามเกี่ยวกับวิธีในการออกกำลังกาย การเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย
  • สอบถามเกี่ยวกับระยะเวลา ความถี่ในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และเมื่อได้ผลแล้วจะจัดการดูแลโรคเบาหวานอย่างไร
  • เมื่อไปพบแพทย์ทุกครั้งให้สอบถามทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาท่านเกี่ยวกับแผนการรักษา ว่าปัจจุบันแผนนี้ดีแล้วหรือยัง หรือต้องมีการปรับเปลี่ยนใดๆ

ขั้นตอนที่ 4 เข้ารับการตรวจเป็นประจำ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี

เข้ารับการตรวจติดตามโดยแพทย์เป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อค้นหาปัญหาและรักษาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วในระยะเริ่มต้น

ทุกครั้งที่มาพบแพทย์ คุณจะต้อง:

  • ได้รับการตรวจวัดความดันโลหิต
  • ได้รับการตรวจเท้า
  • ชั่งน้ำหนัก
  • ทบทวนแผนการรักษา

2 ครั้งต่อปี คุณจะต้อง:

  • ตรวจระดับน้ำตาลสะสม ซึ่งอาจจะต้องตรวจถี่มากกว่านี้หากระดับน้ำตาลสะสมของคุณมากกว่า 7%
  • ตรวจระดับไขมันคอเลสเตอรอล
  • ตรวจเท้าอย่างละเอียด
  • ตรวจสุขภาพช่องปากโดยทันตแพทย์
  • ตรวจตาโดยละเอียดโดยจักษุแพทย์
  • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
  • ตรวจปัสสาวะ และตรวจเลือด เพื่อเช็คการทำงานของไต

ปีละ 1 ครั้ง คุณจะต้อง:

  • ตรวจระดับไขมันคอเลสเตอรอล
  • ตรวจเท้าอย่างละเอียด
  • ตรวจสุขภาพช่องปากโดยทันตแพทย์
  • ตรวจตาโดยละเอียดโดยจักษุแพทย์
  • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
  • ตรวจปัสสาวะ และตรวจเลือด เพื่อเช็คการทำงานของไต

อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต คุณจะต้อง:

  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

สิ่งที่คุณสามารถทำได้

  • สอบถามทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาคุณเกี่ยวกับการตรวจติดตามที่เหมาะสมสำหรับคุณ และความหมายของผลการตรวจต่างๆ
  • จดบันทึกวันนัดหมายเข้าพบแพทย์ครั้งถัดไปไว้เสมอเพื่อเตือนความจำ

ข้อควรจำ

  • คุณคือหนึ่งในบุคคลสำคัญของทีมดูแลรักษา
  • ปฏิบัติตาม 4 ขั้นตอนนี้เพื่อช่วยให้คุณจัดการดูแลรักษาโรคเบาหวานได้อย่างเหมาะสม
  • เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีในการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมให้ได้ตามเป้าหมาย
  • หากต้องการความช่วยเหลือ ให้สอบถามทีมแพทย์ที่ดูแลคุณ

 


4 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
รู้จักโรคเบาหวาน (https://www.dmthai.org/index.php/understand-diabetes/diabetes-3)
Diabetes treatment and care programme (https://www.england.nhs.uk/diabetes/treatment-care/)
Diabetes (https://www.nhs.uk/conditions/diabetes/), 11 July 2019

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)