ยาสามัญประจำบ้าน คือ ยาที่กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาว่า เป็นยาที่เหมาะสมสำหรับให้ประชาชนซื้อไว้ประจำในบ้านของตนเอง เพื่อใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ยาสามัญประจำบ้านเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง หากใช้อย่างถูกต้องก็จะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยาสามัญประจำบ้านยังเป็นยาที่มีราคาถูก ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อได้เองตามร้านขายยา ห้าง ร้านขายของชำทั่วไป
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ปัจจุบันยาสามัญประจำบ้านมีทั้งหมด 53 ชนิด นำมาใช้รักษาโรคสามัญได้ 16 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มยาบรรเทาปวดลดไข้
เป็นกลุ่มสำหรับลดไข้ บรรเทาอาการปวดเมื่อย เช่น
- ยาเม็ดบรรเทาอาการปวดลดไข้พาราเซตามอล ขนาด 325 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม ให้รับประทานหลังอาหาร หรือขณะท้องไม่ว่างทุกๆ 4-6 ชั่วโมง ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 4-5 ครั้ง
- พลาสเตอร์บรรเทาอาการปวด วิธีใช้ คือ ให้เช็ดผิวหนังที่เกิดอาการปวดให้สะอาด แล้วปิดพลาสเตอร์บริเวณที่ปวดลงไป ให้เปลี่ยนพลาสเตอร์วันละ 1-2 ครั้ง และระมัดระวังอย่าใช้พลาสเตอร์บริเวณเยื่อยุตา หรือแผลที่ปากแผลเปิดอยู่
2. กลุ่มยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก
เป็นกลุ่มยาบรรเทาอาการแพ้ เช่น ผื่นลมพิษ น้ำมูก รวมถึงอาการไอ มีเสมหะมาก เช่น
- ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกคลอร์เฟนิรามีน เป็นยาสำหรับบรรเทาอาการแพ้ ให้รับประทานทุกๆ 4-6 ชั่วโมง ตัวยาอาจทำให้มีอาการง่วงซึม ไม่ควรขับขี่พาหนะ หรือใช้เครื่องจักรกล โดยมีปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมดังนี้
- ผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด แต่ไม่ควรเกินวันละ 12 เม็ด
- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด แต่ไม่ควรเกินวันละ 6 เม็ด
- ยาน้ำแก้ไอขับเสมหะสำหรับเด็ก เป็นยาสำหรับบรรเทาอาการไอ และขับเสมหะให้น้อยลง มีปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมดังนี้
- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชา หรือประมาณ 10 มิลลิลิตร
- เด็กอายุ 3-6 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา หรือประมาณ 5 มิลลิลิตร
- เด็กอายุ 1-3 ปี ให้รับประทานครั้งละครึ่งช้อนชา หรือประมาณ 2.5 มิลลิลิตร
3. กลุ่มยาแก้ไอ ขับเสมหะ
- ยาแก้ไอน้ำดำ ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ หญิงมีครรภ์ และคนชรา อีกทั้งในตัวยามีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง และให้เขย่าขวดก่อนรับประทาน โดยควรรับประทานวันละ 3-4 ครั้ง ในผู้ป่วยแต่ละวัยจะมีปริมาณการรับประทานดังต่อไปนี้
- ผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา หรือประมาณ 5-10 มิลลิลิตร
- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละครึ่งถึง 1 ช้อนชา หรือประมาณ 2.5-5 มิลลิลิตร
ยาแก้ไอน้ำดำมีข้อควรระวังอีกอย่าง คือ ผู้ที่ไอ และมีเสมหะเหนียวมากจากหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ยาตัวนี้อาจทำให้เสมหะเหนียวขึ้นกว่าเดิม แล้วไปอุดกั้นทางเดินหายใจจนทำให้หยุดหายใจได้
เพื่อความปลอดภัย คุณอาจปรึกษาแพทย์ก่อนว่า สามารถใช้ยาตัวนี้ได้หรือไม่ หรือควรเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น
4. กลุ่มยาดม หรือยาทาแก้วิงเวียน หน้ามืด คัดจมูก
เป็นยากลุ่มสำหรับใช้ดม และห้ามรับประทานโดยเด็ดขาด อีกทั้งต้องปิดฝาให้สนิทหลังใช้ด้วย โดยได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ยาดมแก้วิงเวียนเหล้าแอมโมเนียหอม เป็นยาสำหรับบรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด รวมถึงใช้ทาผิวหนังที่ถูกแมลงกัดต่อย หรือถูกพืชที่มีพิษ วิธีใช้ คือ นำสำลีมาชุบยา แล้วดม หรือทา
- ยาดมแก้วิงเวียน แก้คัดจมูก เป็นยาแก้อาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวก อาการวิงเวียน หน้ามืด วิธีใช้ คือ ใช้สูดดม หรือทาบางๆ บริเวณคอกับหน้าอก
- ยาระเหยชนิดน้ำผึ้งเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก ผู้ที่เป็นโรคหวัดแล้วมีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวกสามารถใช้ยานี้ทาบริเวณลำคอ หน้าอก และหลังได้ ตัวยาจะระเหยทำให้ผู้ป่วยหายใจได้ง่ายขึ้น
5. กลุ่มยาแก้เมารถ เมาเรือ
ใครที่มักมีอาการเมารถ เมาเรือ อาจหายานี้ติดกระเป๋าไว้ด้วย แต่ต้องระมัดระวังไม่ขับขี่พาหนะด้วยตนเอง เพราะตัวยาอาจทำให้ง่วงซึม อ่อนเพลีย และไม่ควรรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งได้แก่
- ยาแก้เมารถ เมาเรือไดเมนไฮดริเนท เป็นยาสำหรับผู้ใหญ่ โดยให้รับประทานก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 30 นาทีในปริมาณ 1 เม็ด
6. กลุ่มยาสำหรับโรคปาก และลำคอ
ใช้สำหรับบรรเทาอาการอักเสบ และเจ็บบริเวณลำคอ ลิ้น หรือในช่องปาก เช่น
- ยากวาดคอ มีลักษณะเป็นยาผงที่ต้องเติมน้ำลงไป แล้วใช้นิ้วป้ายยาลงไปในลำคอของผู้ป่วย ยานี้จำกัดการใช้ในผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยากวาดคอไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะหากกวาดคอผิดวิธี ก็จะทำให้เกิดบาดแผลในลำคอได้
- ยารักษาลิ้นเป็นฝ้าเยนเชี่ยนไวโอเลต ใช้รักษากระพุ้งแก้ม และลิ้นเป็นฝ้าขาว วิธีใช้คือ นำสำลีมาชุบยาทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง เป็นยาสำหรับทาเท่านั้น
- ยาแก้ปวดฟัน เป็นชาสำหรับใช้สำลีชุบแล้วป้ายอุดฟันที่เป็นรู หรือปวด แต่ทางที่ดี ผู้ป่วยควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาต้นตอของอาการจะดีที่สุด
- ยาอมบรรเทาอาการเจ็บคอ เป็นยาสำหรับใช้ในเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปเท่านั้น โดยให้อมครั้ง 1 เม็ดให้ยาละลายอย่างช้าๆ ในปาก ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
7. กลุ่มยาแก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ
เป็นกลุ่มยาสำหรับลดอาการไม่สบายท้อง ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในกระเพาะมาก หรือมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เช่น
- ยาเม็ดลดกรดอะลูมินา - แมกนีเซีย เป็นยาเคี้ยวก่อนกลืน ใช้ลดอาการจุกเสียด ท้องเฟ้อ ปวดท้องจากกรดในกระเพาะอาหาร หรือมีแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ มีข้อควรระวัง คือ ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไต และห้ามรับประทานนานกว่า 2 สัปดาห์ มีปริมาณการรับประทานดังนี้
- ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1-4 เม็ด
- เด็กอายุ 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด
- ยาเม็ดโซดามินต์ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้บรรเทาอาการจุกเสียด ลดอาการไม่สบายตัวจากกรดในกระเพาะอาหาร ให้รับประทานหลังอาหาร โดยผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 3-6 เม็ด ส่วนเด็กอายุ 6-12 ให้รับประทานครั้งละ 1-3 เม็ด
- ยาธาตุน้ำแดง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้บรรเทาอาการจุกเสียด ท้องเฟ้อ หรืออาการปวดท้อง ให้เขย่าก่อนรับประทาน และรับประทานก่อนมื้ออาหารวันละ 3 ครั้ง ผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ เด็กอายุ 6-12 ปี รับประทานครั้งละครั้งละครึ่งถึง 1 ช้อนโต๊ะ
- ยาน้ำโซเดียมไบคาร์บอเนต แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดกรดในกระเพาะอาหารที่มากเกินไปจนเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มักใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยเด็ก แต่ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 1 เดือน โดยมีปริมาณการรับประทานดังนี้
- เด็กอายุ 2-3 ขวบ ให้รับประทานครั้งละ 2-3 ช้อนชา
- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชา
- เด็กอายุ 1-6 เดือน ให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา
- ยาขับลม ใช้บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจากลมในกระเพาะอาหารที่มากเกินไป ยาชนิดนี้มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยควรให้รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง มีปริมาณการรับประทานดังนี้
- ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
- เด็กอายุ 6-12 ปี รับประทานครั้งละครึ่งถึง 1 ช้อนโต๊ะ
8. กลุ่มยาแก้ท้องเสีย
- ยาแก้ท้องเสีย ผงน้ำตาลเกลือแร่ เป็นยาสำหรับทดแทนสารน้ำที่ร่างกายเสียไปจากอาการท้องเสีย ท้องร่วง หรืออาเจียนหนักมากๆ จนเสี่ยงที่ร่างกายจะช็อก วิธีรับประทาน คือ เทผงยาทั้งซองละลายในน้ำสะอาด หรือต้มสุกแล้วประมาณ 250 มิลลิลิตร
วิธีการรับประทานผงน้ำตาลเกลือแร่จะแตกต่างกันไปตามอาการป่วย คือ ถ้ามีอาการท้องร่วง ให้ดื่มเกลือแร่มากๆ หากถ่ายบ่อยด้วยก็ให้ดื่มบ่อยครั้งขึ้นอีก แต่หากมีอาการอาเจียนเกิดขึ้น ให้ค่อยๆ ดื่มหรือจิบทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง
9. กลุ่มยาระบาย
เป็นกลุ่มยาสำหรับรักษาอาการท้องผูก แต่ไม่ควรใช้เป็นประจำ ได้แก่
- ยาระบายกลีเซอรีน ชนิดเหน็บทวารหนักสำหรับเด็ก ใช้สำหรับรักษาอาการท้องผูก ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น วิธีใช้ คือ ใช้เหน็บทวารครั้งละ 1 แท่ง โดยหลังจากเหน็บแล้วให้รอประมาณ 15 นาทีเพื่อให้ยาละลาย
- ยาระบายกลีเซอรีน ชนิดเหน็บทวารสำหรับผู้ใหญ่ ใช้สำหรับรักษาอาการท้องผูกเช่นเดียวกัน วิธีใช้เหมือนกัน แต่เป็นยาสำหรับผู้ใหญ่
- ยาระบายแมกนีเซีย เป็นยารับประทานเพื่อให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ให้รับประทานก่อนนอน หรือเมื่อตื่นนอนตอนเช้า มีปริมาณการรับประทานดังนี้
- ผู้ใหญ่ ให้รับประทานครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 30-45 มิลลิลิตร
- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 15-30 มิลลิลิตร
- เด็กอายุ 1-6 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1-3 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 5-15 มิลลิลิตร
- ยาระบายมะขามแขก ใช้สำหรับรับประทานก่อนนอน หรือตื่นนอนตอนเช้าเพื่อเป็นยาระบาย ผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 3-4 เม็ด ส่วนเด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด
- ยาระบายโซเดียมคลอไรด์ ชนิดสวนทวาร ใช้สวนเข้าทวาารเพื่อแก้อาการท้องผูก ผู้ใหญ่ใช้ครั้งละ 20-40 มิลลิลิตร เด็กอายุ 6-12 ปีใช้ครั้ง 10-20 มิลลิลิตร และเด็กอายุ 1-6 ขวบ ใช้ครั้งละ 5-10 มิลลิลิตร
10. กลุ่มยาถ่ายพยาธิลำไส้
- ยาถ่ายพยาธิตัวกลม มีเบนดาโซล ใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม แต่ก็มีวิธีรับประทานที่แตกต่างกันไปตามชนิดของพยาธิด้วย ซึ่งได้แก่
- พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุด ทั้งเด็กอายุ 2 ขวบขึ้นไป และผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารเพียงครั้งเดียว โดยให้เคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืนด้วย
- พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า พยาธิปากขอ และพยาธิอื่นๆ ทั้งเด็กอายุ 2 ขวบ และผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารวันละ 2 ครั้งติดต่อกัน ประมาณ 3 วัน
11. กลุ่มยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ แมลงกัดต่อย
- ยาหม่องชนิดขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวด บวม อักเสบจากแมลงกัดต่อย หรืออาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นยาห้ามรับประทาน ใช้สำหรับทา หรือนวดบริเวณที่มีอาการเท่านั้น
12. กลุ่มยาสำหรับโรคตา
- ยาหยอดตา ซัลฟาเซตาไมด์ ใช้รักษาอาการตาแดง ตาอักเสบจากการติดเชื้อ วิธีใช้ คือ หยอดตาครั้งละ 1-2 หยด ประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน และเมื่อยาถูกเปิดใช้แล้วเกิน 1 เดือน ห้ามใช้ต่อเด็ดขาด รวมถึงหากสังเกตว่า ยามีสีขุ่น หรือตกตะกอนด้วย
- ยาล้างตา ใช้สำหรับล้างตาที่เกิดความระคายเคือง หรือแสบจากสิ่งสกปรกที่เข้าตา ใช้วันละ 2-3 ครั้ง ห้ามรับประทานเด็ดขาด
13. กลุ่มยาสำหรับโรคผิวหนัง
เป็นกลุ่มยาสำหรับรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนัง หรืออาการแพ้ที่แสดงออกทางผิวหนัง การติดเชื้อราทางผิวหนัง เช่น
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ยารักษาหิดเหา เบนซิลเบนโซเอต สำหรับรักษาโรคหิด ให้อาบน้ำให้สะอาด แล้วใช้ผ้า หรือแปรงอ่อนๆ ถูบริเวณที่มีผื่นคัน แล้วทายาทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วค่อยอาบน้ำอีกครั้ง จากนั้นวันต่อมา ให้ทาซ้ำใหม่อีกครั้ง
- ยารักษาหิดแบบขึ้ผึ้งกำมะถัน ใช้ทาบริเวณที่เป็นหิดวันละ 2-3 ครั้ง หากเกิดความระคายเคือง หรือมีอาการคล้ายกับแพ้ยา ให้หยุดใช้ยาทันที
- ยารักษากลากเกลื้อน น้ำกัดเท้า มีวิธีใช้ และข้อควรระวังเหมือนยารักษาหิดแบบขี้ผึ้งกำมะถัน
- ยารักษาเกลื้อน โซเดียมไทโอซัลเฟต มีวิธีใช้ คือ เติมน้ำสะอาดจนเต็มถึงคอขวด แล้วเขย่าจนตัวยาละลายผสมกับน้ำจนเข้มข้นประมาณ 25% หลังจากอาบน้ำแล้ว ให้ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน วันละหลายๆ ครั้ง มีข้อควรระวัง คือ หากผสมยากับน้ำทิ้งไว้แล้ว ควรใช้ภายใน 15 นาทีไม่นานกว่านั้น
14. กลุ่มยารักษาแผลติดเชื้อไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ยารักษาแผลติดเชื้อซิลเวอร์ ซัลฟาไดอาซีน ครีม เป็นยาทาภายนอกเพื่อรักษาการติดเชื้อของแผลไฟใหม้ โดนความร้อน หรือน้ำร้อนลวก วิธีใช้ คือ ทำความสะอาดแผลก่อน แล้วทายาลงไปทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง หากเป็นแผลไฟไหม้ควรใช้ทุกๆ 24 ชั่วโมง
15. กลุ่มยาใส่แผล ยาล้างแผล
เป็นกลุ่มยาสำหรับปฐมพยาบาล และดูแลแผลสดให้สะอาด เช่น
- ยาใส่แผล ทิงเจอร์ไอโอดีน ใช้สำหรับรักษาแผลสด โดยนำสำลีสะอาดมาชุบยาทาที่แผล พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้ยาเข้าตาเด็ดขาด และมีอาการแพ้ยา เช่น ผื่นแดง หรือรู้สึกระคายเคือง ให้รีบหยุดยาทันที
- ยาใส่แผล ทิงเจอร์ไทเมอรอซอล ใช้รักษาบาดแผล วิธีใช้ และข้อควรระวังเหมือนยาใส่แผล ทิงเจอร์ไอโอดีน
- ยาเอทิลแอลกอฮอล์ ใช้รักษาความสะอาดรอบๆ บาดแผล ใช้สำหรับทาเท่านั้น ห้ามรับประทาน
- น้ำเกลือล้างแผล ใช้รักษาความสะอาดรอบๆ บาดแผลให้สะอาด
16. กลุ่มยาบำรุงร่างกาย
เป็นกลุ่มยาสำหรับบำรุงไม่ให้ร่างกายขาดวิตามิน หรือแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น
- ยาเม็ดวิตามินบีรวม ให้รับประทานวันละ 1 ครั้งหลังรับประทานอาหาร ผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด เด็กอายุ 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1 เม็ด
- ยาเม็ดวิตามินซี ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการขาดวิตามินซี ผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 2 เม็ด เด็กอายุ 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หากยามีลักษณะเปลี่ยนสีไป ให้เปลี่ยนไปรับประทานชุดใหม่
- ยาเม็ดบำรุงโลหิต เฟอร์รัส ซัลเฟต ใช้รักษาโรคโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็กของผู้ใหญ่ ให้รับประทาน 3 ครั้ง ครั้งละ 1-2 เม็ดหลังอาหาร ในระหว่างรับประทานอาหาร อุจจาระอาจมีสีดำ รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน คุณอาจให้แพทย์เป็นผู้แนะนำว่า ควรรับประทานขนาดไหนจึงจะเหมาะกับร่างกาย
- ยาน้ำมันตับปลาชนิดแคปซูล ใช้รักษาเพื่อป้องกันการขาดวิตามินเอ และดี ผู้ใหญ่ให้รับประทานวันละ 1 เม็ดแต่พอดี อย่ารับประทานเกินเพราะอาจสะสมในร่างกายจนเกิดอันตราย
ข้อควรระวังในการซื้อยาสามัญประจำบ้าน
การเลือกซื้อยาสามัญประบ้าน ควรเลือกที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งจะต้องมีเลขทะเบียบตำรับยาอยู่บนฉลากของยานั้น เพราะยาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจะเป็นยาที่ได้มาตรฐาน สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้
อีกสิ่งที่ควรดูก่อนซื้อยา คือ วันหมดอายุ เนื่องจากยามีเวลาเสื่อมสภาพ จึงไม่ควรซื้อยาที่ใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุแล้วมาใช้รับประทาน เพราะอาจจะมีอันตรายต่อร่างกายได้
นอกจากนี้ คุณยังควรเลือกยาที่มีสิ่งบรรจุ ผลิตภัณฑ์อยู่ในสภาพดี ครบสมบูรณ์ ยาเม็ดต้องไม่แตก สีเรียบไม่มีจุดแปลกปลอม ยาน้ำไม่ตกตะกอน แต่ถ้าแขวนตะกอนเมื่อเขย่าตัวยาแล้วต้องกระจายตัวสม่ำเสมอ
วิธีใช้ยาสามัญประจำบ้านให้ปลอดภัย
- ควรอ่านฉลากยา และเอกสารกำกับยาให้เข้าใจก่อนใช้ยาทุกครั้ง จะได้ไม่ใช้ยาผิด
- ใช้ยาให้ถูกต้องตามที่เอกสารกำกับยาระบุไว้ ไม่ควรใช้ยาเกินขนาดเด็ดขาด
- เลี่ยงการใช้ยาที่ผิดกับโรค เพราะโรคบางอย่างตัวยาต้องใช้ต่างชนิดกัน
การเก็บรักษายาสามัญประจำบ้านที่ถูกต้อง
การเก็บยาสามัญประจำบ้านเอาไว้นั้น ควรมีตู้สำหรับใส่ยาเหล่านี้โดยเฉพาะเพื่อให้เป็นระเบียบ และเพิ่มความสะดวกในการหยิบใช้ อีกทั้งช่วยรักษาตัวยาให้มีอายุการใช้งานได้ตามกำหนด โดยมีวิธีเก็บดังนี้
- ควรแยกยาออกเป็นประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน ว่าอันไหน คือ ยาสำหรับรับประทาน และยาอันไหน คือ ยาสำหรับใช้ภายนอก
- ยาจะต้องมีฉลากยาที่มีความถูกต้องชัดเจน ไม่จาง หรือขาดหาย
- เก็บยาให้พ้นมือเด็ก
- เก็บยาไว้ในที่ไม่โดนแสงแดด ความร้อน ความชื้น และเปลวไฟ
- อย่าเก็บยาชนิดอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเอาไว้ในตู้เก็บยาสามัญประจำบ้าน เพราะอาจจะหยิบผิดได้
ยาสามัญประจำบ้านเป็นของที่ต้องมีติดบ้านเอาไว้เสมอ เพราะรักษาโรคทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถซื้อยาทานเองได้ แต่ก็ต้องศึกษาตัวยาและข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับยาให้ครบถ้วนเพื่อจะได้ใช้รักษาโรคได้อย่างปลอดภัย
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android