ปวดท้องด้านซ้ายล่าง เวลากดจะเจ็บจี๊ดๆหายใจเขาลึกๆเจ็บจี๊ดๆ

สวัสดีครับ
อาการปวดท้องด้านซ้ายล่างอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น
- อาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ จะทำให้มีอาการปวดท้องในระดับผิวตื้นๆ มักมีจุดกดเจ็บที่ชัดเจน และอาการปวดมักสัมพันธ์กับการขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง
- นิ่วในทางเดินปัสสาวะ มักทำให้มีอาการปวดท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่ง อาจปวดเสียวร้าวลงขาหนีบ และอาจมีเลือดปนในปัสสาวะได้
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะทำให้มีอาการปวดที่บริเวณท้องน้อยร่วมกับมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด
- ลำไส้อักเสบ จะทำให้มีอาการปวดท้องในลักษณะปวดบิดทั่วๆเป็นพัก ร่วมกับมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อนเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมครับ

ปวดท้องด้านซ้ายล่าง เกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น
- ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ น่าจะมีปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย
- กรวยไตอักเสบ อาจจะมีไข้ ปวดบั้นเอวร่วมด้วย
- ลำไส้อักเสบ/อาหารเป็นพิษ อาจมีท้องเสียถ่ายเหลว/คลื่นไส้อาเจียน ร่วมด้วย
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ อาจมีตกขาวผิดปกติร่วมด้วย
- ถ้ามีประวัติเคยมีประจำเดือน และประจำเดือนขาดไป อาจจะตั้งครรภ์หรือภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
- กล้ามเนื้ออักเสบ อาจมีประวัติออกแรง/ออกกำลังกายหนัก ปวดกล้ามเนื้อ เป็นมากตอนขยับตัว เป็นต้นครับ

เบื้องต้นการปฏิบัติตัว แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงการยกของหนัก/เอี้ยวตัวแรงๆ และไม่กลั้นปัสสาวะครับ

แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อ ซักประวัติ ตรวจร่างกายบริเวณท้องอย่างละเอียด เพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องนะครับ

สวัสดีครับ
อาการปวดท้องน้อย (ปวดท้องในระดับที่ต่ำกว่าสะดือลงไป) อาจเป็นได้หลายสาเหตุครับ เช่น
- การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection) จะมีอาการปวดท้องน้อยร่วมกับอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขุ่น ในผู้ป่วยที่มีการอักเสบติดเชื้อของกรวยไต (Acute pyelonephritis) จะมีอาการไข้ หนาวสั่นและปวดเอว
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้มีอาการปวดท้องน้อย มักเกิดร่วมกับการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคหนองใน
- ลำไส้อักเสบ (Infective diarrhea) จะมีอาการปวดท้องร่วมกับอาการท้องเสียถ่ายเหลว อาการปวดท้องจะดีขึ้นเมื่อถ่ายอุจจาระ
- โรคทางนรีเวชต่างๆ เช่น ปวดประจำเดือนผิดปกติ การมีเนื้องอกในมดลูก การตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นต้น
สาเหตุที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ยังมีอีกหลายสาเหตุครับ ซึ่งการวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติ และตรวจร่างกายเพิ่มเติมครับ ดังนั้นแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจและให้การรักษาครับ