Clostridium difficile หรือเรียกกันย่อๆ ว่า C. diff เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ปล่อยสารพิษออกมา ก่อให้เกิดอาการท้องเสียและลำไส้ใหญ่อักเสบที่ร้ายแรงถึงขั้นชีวิต C. diff มักถูกรวมเข้าไปในกลุ่ม superbug เพราะดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายตัว ทำให้ยากต่อการรักษา
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) จัดให้ C. diff เป็นหนึ่งในเชื้อที่ดื้อยามากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
การติดเชื้อ C. Diff เกิดขึ้นได้อย่างไร
เชื้อ C. Diff จะพบในอุจจาระ และติดต่อได้ง่ายผ่านอาหาร ผิวสัมผัส และสิ่งของที่ปนเปื้อน นอกจากนี้แบคทีเรียชนิดนี้ยังผลิตสปอร์ที่ทนต่อความร้อนและกรด ทำให้เชื้อสามารถคงอยู่ในสภาพแวดล้อมได้เป็นเวลานาน
การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ปนเปื้อน หรือการนำนิ้วมือที่ไม่ได้ล้างและเอาเข้าปากหลังไปสัมผัสพื้นผิว หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนอาจทำให้ C. diff ไม่ว่าจะเป็นตัวเชื้อ หรือสปอร์เข้าไปในร่างกายได้
ในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงนั้น หากติดเชื้อ C. Diff ตัวแบคทีเรียจะไปสร้างโคโลนีอยู่ในลำไส้ โดยไม่ทำให้เกิดอาการใดๆ
อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในบางกรณี เช่น การรักษาโรคติดเชื้อเป็นเวลานาน จะสามารถทำลายเชื้อในภาวะปกติของลำไส้ ทำให้ C. diff เจริญเติบโตมากเกินไป ก่อให้เกิดการติดเชื้อตามมา
ยาปฏิชีวนะที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดการติดเชื้อ C. diff ได้แก่
- Clindamycin
- Ampicillin
- Amoxicillin
- Cephalosporin
- Fluoroquinolones
รีวิวเรื่อง C. diff ฉบับเดือนเมษายน ค.ศ. 2015 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร NEJM พบว่า ยาปฏิชีวนะทุกตัวล้วนมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อ C.difficile ในผู้สูงอายุ ผู้ที่รับเคมีบำบัด และผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง จะมีความเสี่ยงติดเชื้อ C. diff มากขึ้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อาการแสดงของ C. Diff
การติดเชื้อ C. diff มักจะแสดงอาการ ดังนี้
- ท้องเสียแบบถ่ายเหลว (watery diarrhea)
- ไข้สูงกว่า 100.4 องศาฟาเรนไฮต์ (38 องศาเซลเซียส)
- ไม่อยากอาหาร
- คลื่นไส้
- ปวดท้อง และเป็นตะคริวที่ท้อง
ในกรณีรุนแรงอาจพบอาการต่อไปนี้
- ภาวะขาดน้ำ
- ท้องบวม
- ตับวาย
- อุจจาระที่มีเลือดและหนอง
การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่ โรคลำไส้โป่งพอง(toxic megacolon ทำให้ลำไส้ใหญ่กว้างขึ้น) โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ และภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณของการเกิดการติดเชื้อในภาวะพิษเหตุติดเชื้อขั้นรุนแรง
การรักษาโรคติดเชื้อ C. Diff
การรักษาโรคติดเชื้อ C. diff จำเป็นต้องเริ่มด้วยการหยุดยาปฏิชีวนะทุกตัวที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ในกรณีที่พบได้ไม่มากนักสามารถปล่อยให้จุลินทรีย์ในลำไส้รักษาตัวเอง และหยุดภาวะท้องเสียที่ตามมา
- การรักษาด้วยยา อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ 1 ใน 3 ตัวที่ยังคงใช้กับแบคทีเรียชนิดนี้ได้ ได้แก่ Metronidazole ที่สามารถใช้รักษาการติดเชื้อ C. diff ระดับต่ำถึงปานกลาง ในขณะที่ vancomycin หรือ fidaxomicin มักใช้ในกรณีที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้การติดเชื้อซ้ำของ C. diff จะเกิดในประมาณ 20 เปอร์เซนต์ของผู้ที่รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเหล่านี้
- การปลูกอุจจาระ จะนำอุจจาระของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงมาปลูกในลำไส้ใหญ่ของผู้ติดเชื้อ C. diff นับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากสำหรับผู้ติดเชื้อ C. diff ซ้ำๆ จากรีวิว NEJM ในการศึกษาในเดือนพฤษภาคม 2015 ที่รายงานในวารสาร Journal of the American Medical Association (JAMA) ชี้ว่า การสร้างโคโลนีของ C. diff สายพันธุ์ที่ไม่สร้างพิษอาจช่วยป้องกันการเกิดการติดเชื้อซ้ำของเชื้อ C. diff สายพันธ์ที่สร้างพิษได้
อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคยังถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะง่ายและสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตนเอง ได้แก่ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี หมั่นล้างมืออย่างถูกวิธีบ่อยๆ ทั้งก่อน หลังรับประทานอาหาร รวมทั้งหลังการสัมผัสสิ่งของสาธารณะ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ อาหารไม่ค้างคืน และดื่มน้ำที่สะอาด
นอกจากนี้ภาชนะที่ใช้ในการรับประทานอาหาร จาน ชาม ช้อน หรือแก้วสำหรับดื่มน้ำก็ต้องสะอาดปราศจากการปนเปื้อนเชื้อด้วยเช่นกัน
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพ จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดเดียวกันในช่วงๆเวลาใกล้กันได้หรือไม่คะ