โรคไข้เลือดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส "เด็งกี่" (Dengue) โดยมี ยุงลาย เป็นพาหะนำโรค ไข้เลือดออกนับเป็นโรคอันตรายเพราะถ้ารักษาไม่ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้ แต่หากรู้ตัวและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ภายในเวลาไม่นาน
จากข้อมูลของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยพบว่า พ.ศ. 2557 พบผู้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกร่วม 40,000 ราย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ปัจจุบันสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทย วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2562 มีจำนวนผู้ป่วยสะสมมากถึง 31,843ราย เสียชีวิตแล้ว 48 ราย
เมื่อเทียบกับสถิติช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. 2561 มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 19,804 ราย เสียชีวิต 24 ราย จะเห็นได้ว่า ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 1.6 เท่า ไข้เลือดออกจึงเป็นโรคที่น่ากลัวไม่น้อย
ทั้งนี้หลายๆ คนอาจสับสนระหว่างโรคไข้เลือดออกกับโรคไข้หวัดใหญ่เพราะมีอาการเบื้องต้นคล้ายคลึงกัน ฉะนั้นจึงต้องสังเกตอาการเริ่มแรกให้ดี เพื่อแยกแยะความแตกต่างของไข้หวัดใหญ่กับ ไข้เลือดออก ให้ได้
สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เด็งกี่-1 เด็งกี่-2 เด็งกี่-3 และเด็งกี่-4 หากได้รับเชื้อไวรัสไม่ว่าจะสายพันธุ์ใดก็สามารถเป็นโรคไข้เลือดออกได้ทั้งนั้น
แต่หากร่างกายติดเชื้อจากสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งไปแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานสายพันธุ์นั้นขึ้นมา หมายความว่า เราจะไม่ติดเชื้อจากสายพันธุ์นั้นอีกไปตลอดชีวิต แต่ยังมีโอกาสติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นได้
สาเหตุของโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดมักระบาดในหน้าฝน เมื่อมียุงลายเพศเมียไปกัดคนที่มีเชื้อไวรัส เชื้อจะเข้าสู่กระเพาะของยุงและเข้าไปอยู่ในเซลล์บริเวณผนังกระเพาะและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจะเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลายของยุงที่พร้อมจะเข้าสู่คนที่ถูกกัดต่อไป
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เชื้อไวรัสจะมีระยะฟักตัวในยุงประมาณ 8-12 วัน เมื่อยุงตัวนั้นกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ถูกกัดต่อไป
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนผ่านระยะเวลาฟักตัวนาน 5-8 วัน (สั้นที่สุด 3 วัน - นานที่สุด 15 วัน) หลังจากนั้นจะมีอาการเหมือนไข้หวัด คือ มีไข้ ตัวร้อน ไอ คลื่นไส้ เวียนหัว จึงอาจทำให้เกิดการวินิจฉัยผิดพลาดได้ในกรณีที่โรคยังไม่ถึงระยะลุกลาม
ดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายกับไข้หวัด แพทย์จึงมักสั่งให้ตรวจเลือดหาเชื้อไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่
อาการของโรคไข้เลือดออก
อาการของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีความรุนแรงต่างกัน แต่อาการที่เด่นชัดคือ
- ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงประมาณ 2-7 วัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส หรืออาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียส โดยอาจเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน ในบางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติการชักมาก่อน
- ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออก พบบ่อยที่สุดบริเวณผิวหนัง โดยจะพบว่า มีเส้นเลือดเปราะและแตกง่ายร่วมกับมีจุดเลือดออกเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายอยู่เต็มตามแขน ขา ลำตัว และรักแร้ ทั้งนี้อาจมีเลือดดำ หรือเลือดออกตามไรฟันร่วมด้วย สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขั้นรุนแรง อาจมีอาการอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ สำหรับอาการเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนใหญ่จะพบร่วมกับภาวะช็อกในผู้ป่วยที่มีการช็อกอยู่นาน
- ผู้ป่วยจะมีอาการตับโต เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ โดยส่วนใหญ่จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการตับโต ในช่วงวันที่ 3-4 นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ
- ผู้ป่วยจะมีภาวะระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกอาจจะมีอาการรุนแรง หรือเรียกว่า "ภาวะช็อก" เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด หรือช่องท้อง เกิดภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (Hypovolemic Shock) ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับไข้ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการรุนแรงในช่วง 3-5 วัน หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นอาการอาจจะทุเลาลงไประยะหนึ่งและมีอาการรุนแรงขึ้นมาอีก จนอาจถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ แต่หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็สามารถหายจากโรคได้ภายในไม่กี่วัน
สำหรับช่วงเวลาที่ผู้ป่วยเกิดอาการช็อกนั้นจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ด้วยเช่นกัน อาจจะเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 หรือวันที่ 8 ของวันที่ป่วย ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอาการแย่ลง โดยเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเริ่มเย็น ชีพจรเบา และความดันโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า อาการของผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกและไข้หวัดนั้นใกล้เคียงกันมาก จึงทำให้ผู้ป่วยและคนรอบข้างชะล่าใจ เนื่องจากคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา
กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อมีอาการเลือดออกมากผิดปกติ มีไข้ อาเจียน ปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มือ เท้าเย็น ตาลาย เหงื่อออกมาก หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ไข้ลด ถือเป็นสัญญาณอันตรายต้องรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วนเพราะอาจช็อกหมดสติได้
ดังนั้นทางที่ดีเมื่อพบว่า ตนเองมีอาการป่วยไข้ อย่านิ่งนอนใจให้รีบมาพบแพทย์ หรือถ้าหากรับประทานยาแล้วอาการไม่ทุเลาลงแต่กลับมีไข้สูง ให้รีบเช็ดตัวผู้ป่วยเพื่อลดไข้ และรับประทานยาพาราเซตามอล จากนั้นให้รีบมาพบแพทย์เพื่อรักษาต่อไป
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบตวามแตกต่างของไข้หวัดธรรมดา, ไข้หวัดใหญ่ และไข้เลือดออก
วิธีสังเกตลักษณะของตุ่มไข้เลือดออก
การสังเกตลักษณะของตุ่มที่เกิดบริเวณผิวหนังว่า มาจากแมลงกัดต่อย ผลพวงจากโรคอื่น หรือเป็นตุ่มที่มาจากไข้เลือดออก สังเกตได้ดังนี้
- ตุ่มจากแมลงกัดต่อย ส่วนมากจะเป็นตุ่มนูน หรือเห่อขึ้นมาเป็นจุดๆ ตามผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือแผ่กระจายในจุดเดียวกัน แต่ในตำแหน่งอื่นกลับไม่พบตุ่มนูน บางครั้งมีลักษณะเห่อเหมือนกับลมพิษอาจมีอาการคันร่วมด้วย ส่วนมากผู้ป่วยจะไม่มีไข้ เว้นแต่สัตว์ที่กัดต่อยจะเป็นสัตว์มีพิษจนทำให้เกิดอาการแพ้และมีไข้ร่วมด้วย
- ตุ่มจากโรคมือเท้าปาก จะมีไข้ร่วมด้วยพร้อมกับอาการเจ็บปาก รับประทานอาหารได้น้อย มีแผลที่กระพุ้งแก้ม เพดานปาก ตุ่ม หรือผื่นแดงจะเกิดขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า อวัยวะเพศ ผิวหนังของก้น อาจพบตามลำตัว แขนและขาได้ อาการจะคงอยู่ประมาณ 2-3 วันจะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายได้ภายใน 1 สัปดาห์
- ตุ่มที่เกิดขึ้นจากไข้เลือดออก ลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดเล็ก กระจายไปทั่วทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา ลำตัว หรือตามใบหน้า จะพบร่วมกับอาการมีไข้ หากไข้สูงนำมาแล้ว 2-7 วัน หลังจากไข้เริ่มลดลงจะปรากฏผื่นแดง เมื่อสังเกตเห็นผื่นแดงแสดงว่า อยู่ในระยะที่ต้องเฝ้าระวัง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกได้
กลุ่มเสี่ยงโรคไข้เลือดออก
กลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออก ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่อ้วนมาก ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยที่ขยับร่างกายน้อย หรือผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีน้ำขัง
หากสงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออก ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะปัจจุบันเชื้อไข้เลือดออกมีการกลายพันธุ์ ทำให้เชื้อรุนแรงมากขึ้นจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การตรวจโรคไข้เลือดออก
หากสงสัยว่า ผู้ป่วยอาจเป็นไข้เลือดออก วิธีที่ดีที่สุดคือ แพทย์จะเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อที่ห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้การตรวจจำนวนเกล็ดเลือดก็เป็นการวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน ซึ่งมักจะพบความผิดปกติ ประมาณวันที่ 3 นับจากวันที่เริ่มป่วย
ทั้งนี้ตามปกติคนเราจะมีเกล็ดเลือดประมาณ 150,000 – 450,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร แต่ในผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออก ส่วนใหญ่เกล็ดเลือดจะต่ำกว่า 100,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร
การรักษาโรคไข้เลือดออก
ปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใดที่สามารถต้านไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะเชื้อไข้เลือดออกได้ แพทย์จึงต้องใช้วิธีรักษาตามอาการ เช่น หากมีไข้ก็จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้ หากอาเจียน แพทย์จะให้ยาแก้อาเจียน พร้อมจิบน้ำเกลือชนิดดื่ม หรืออาจให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดร่วมด้วย
ทั้งนี้ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูงมาก อาเจียนตลอดเวลา เกล็ดเลือดต่ำ มีเลือดออกมาก เสี่ยงต่อภาวะช็อก แพทย์จะดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยยังคงอยู่ในช่วงวิกฤตประมาณ 24-48 ชั่วโมงที่มีการรั่วไหลของพลาสมา
ข้อควรรู้
ห้ามใช้ยาแก้ปวดลดไข้ในกลุ่ม NSAIDS (Nonsteroidal anti-inflammatory drug) เช่น แอสไพริน เด็ดขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น
รู้ได้อย่างไรว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
สังเกตได้จากอาการไข้ที่ลดลงภายใน 24-48 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายตัวขึ้น เริ่มรับประทานอาหารได้บ้างเล็กน้อย อาการต่างๆ ที่เคยเป็นจะเริ่มทุเลาลง
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
- ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด
ไม่ว่าทั้งกลางวันและกลางคืนควรทายากันยุง ติดมุ้งลวด ไม่สวมเสื้อที่มีสีทึบและไม่อยู่ในที่มืด โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุควรอยู่ในห้องที่มีการป้องกันยุงมิดชิดเพราะคนกลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจมีโอกาสได้รับเชื้อมากกว่า - กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและลูกน้ำยุงลายรอบบริเวณบ้าน
ยุงลายมักวางไข่ตามแหล่งน้ำขังต่างๆ โดยเฉพาะน้ำนิ่ง จึงต้องกำจัดลูกน้ำยุงลายอย่างต่อเนื่องทุกๆ สัปดาห์ โดยการเปลี่ยนน้ำในโอ่ง หรือถังน้ำบ่อยๆ ถ่ายถ้วยน้ำรองขาโต๊ะ หรือน้ำในแจกัน คว่ำภาชนะที่มีน้ำขังเพื่อป้องกันยุงลายวางไข่ เลี้ยงปลาเพื่อช่วยกำจัดลูกน้ำ หรือใส่ทรายอะเบท หรือเกลือแกงลงไปเพื่อทำลายไข่ยุง - แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเขตพื้นที่
เพื่อฉีดยากันยุงและใส่ทรายอะเบทในแหล่งน้ำ รวมถึงแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อมีคนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก - เฝ้าระวังตัวเองและผู้อื่นเมื่อมีอาการ
พยายามอย่าให้ผู้ป่วยที่กลับมาพักฟื้นที่บ้านโดนยุงกัดในระยะเวลา 5 วันแรก เพราะระยะนี้ผู้ป่วยจะยังมีเชื้อไวรัสไข้เลือดออกหลงเหลืออยู่ หากผู้ป่วยถูกยุงกัด เชื้อจะติดไปกับยุงและอาจแพร่กระจายสู่คนในบ้านได้ - ออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพแข็งแรงจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้
วิธีดูแลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก
- ในช่วงที่ผู้ป่วยมีไข้สูง บางรายอาจมีอาการชัก โดยเฉพาะเด็กที่เคยมีประวัติการชักมาก่อน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องให้ยาลดไข้
- ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีไข้และมีอาการเบื่ออาหาร รวมทั้งอาเจียนจึงทำให้ร่างกายขาดน้ำในปริมาณมาก ดังนั้นจึงควรชดเชยน้ำด้วยการให้ดื่มน้ำผลไม้ หรือสารละลายผงน้ำตาลเกลือแร่
- หมั่นติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะช็อก
- ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ปลอดยุง ควรมีมุ้งลวด หรือกางมุ้งเพื่อป้องกันยุงและการแพร่ระบาดของโรค
- ควรให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
- ควรให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากๆ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน
- ดื่มน้ำ หรือเกลือแร่ให้มากพอ โดยสังเกตที่สีปัสสาวะจะเป็นสีเหลืองอ่อน หากปัสสาวะสีเข้ม ต้องดื่มน้ำเพิ่มขึ้น
- เช็ดตัวผู้ป่วยด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น ควรรักษาอุณหภูมิไม่ให้สูงถึง 39 องศาเซลเซียส กรณีที่มีไข้ ห้ามเช็ดตัว หรืออาบน้ำด้วยน้ำเย็นเพราะผู้ป่วยอาจหนาวสั่นได้
- ควรรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอลตามขนาดที่แพทย์สั่ง เพราะหากรับประทานยาเกินขนาดอาจทำให้ตับอักเสบได้
- ห้ามให้ผู้ป่วยรับประทานยาแอสไพรินและยากลุ่ม NSAIDS เด็ดขาด เนื่องจากยาทั้ง 2 ตัวต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือด อาจไปกระตุ้นอาการเลือดออกได้
- ควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย และรสไม่จัด เช่น ข้าวต้ม หรือแกงจืด
- ไม่ควรรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีสีแดง ดำ หรือน้ำตาล เพราะเวลาปัสสาวะและอุจจาระอาจสังเกตได้ยากกว่าสิ่งที่ผู้ป่วยขับถ่ายออกมามีเลือดปนมาด้วยหรือไม่
ช่วงหน้าฝนเป็นช่วงที่ต้องระวังไข้เลือดออก เพราะเป็นช่วงที่ยุงลายอาละวาดหนัก ทุกคนควรป้องกันตัวเองและคนใกล้ชิดให้ห่างจากยุงลายให้มากที่สุด
อาการเตือนที่รุนแรง
หากอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น มีไข้สูงต่อเนื่อง และมีอาการเตือนที่รุนแรง ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยด่วน ซึ่งอาการจะมีดังนี้
- ผู้ป่วยมีอาการซึม หรืออ่อนเพลียมากขึ้น
- ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารได้น้อยลง
- มีอาการคลื่นไส้และอาเจียนตลอดเวลา
- มีอาการปวดท้องมาก
- เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำมีเลือดปน
- ผู้ป่วยปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลยในระยะ 4-6 ชั่วโมง
- ผู้ป่วยกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา
- กระสับกระส่าย หงุดหงิด หรือเอะอะโวยวาย
- หากเป็นผู้ป่วยเด็กอาจร้องกวนตลอดเวลา
- มีอาการตัวเย็นชื้น เหงื่อออก สีผิวคล้ำลง ตัวลาย ในขั้นนี้อาจเกิดอาการช็อกได้
ทำความรู้จักกับวัคซีนโรคไข้เลือดออก
- วัคซีน CYD-TDV เป็นวัคซีนที่ป้องกันโรคไข้เลือดออกจากไวรัสเด็งกี่ 4 สายพันธุ์ก็จริง แต่ผลที่เกิดขึ้นในแต่ละรายอาจจะสร้างภูมิคุ้มกันแตกต่างกันไป เช่น ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเด็งกี่สายพันธุ์ที่ 3 และ 4 ได้ดีมาก แต่สายพันธุ์ที่ 1 และ 2 อาจส่งผลไม่ดีนัก
- เป็นวัคซีนที่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาแล้วเพราะจะมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงมาก แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อน วัคซีนชนิดนี้มีเชื้อไวรัสเด็งกี่ทั้ง 4 ประเภทซึ่งถูกทำให้มีฤทธิ์อย่างอ่อนก่อนนำเข้าสู่ร่างกาย หลักการทำงานของวัคซีนนี้คือ เมื่อร่างกายได้รับแล้วก็จะสร้างภูมิต้านทานสายพันธุ์นั้น ๆ และทำให้ไม่เป็นโรคนี้อีก แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยป่วยแล้วฉีดวัคซีนอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าเดิม ผู้ที่ยังไม่เคยเป็นจึงไม่ควรฉีด
- ประสิทธิภาพโดยรวมในการป้องกันโรคในผู้ที่มีอายุ 9 – 45 ปี ผู้ที่อายุน้อยกว่านี้ไม่ควรฉีดเพราะยาจะไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
- วัคซีนนี้ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ แต่ยังมีราคาค่อนข้างสูง เข็มละประมาณ 3,000 บาท และต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยระยะเวลาที่ฉีดคือ เดือนที่ 1, 6 และ 12
ผลข้างเคียงที่พบจากการฉีดวัคซีนโรคไข้เลือดออก
ผลข้างเคียงที่พบจากการฉีดวัคซีนมีน้อย อาจจะมีไข้ หรือเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด มีอาการปวดบวมแดงบริเวณผิวหนังที่ฉีด อ่อนเพลีย และมีไข้ต่ำๆ ซึ่งถือเป็นอาการที่พบได้บ่อยและไม่มีอันตราย
แต่ในบางรายอาจมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงขึ้น เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำมูกไหล ปวดตามข้อ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นสักระยะหนึ่ง
ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากคือ การแพ้วัคซีนซึ่งจะมีอาการที่รุนแรง เช่น มีผื่นขึ้น ใบหน้าบวม ความดันต่ำ หายใจลำบาก ฯลฯ หากพบอาการดังกล่าวต้องรีบแจ้งให้แพทย์ทราบโดยด่วน
ปัจจุบันมีให้บริการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกในบางโรงพยาบาล จากการวิจัยพบว่า เมื่อถูกยุงกัดและเป็นไข้เลือดออกตามธรรมชาติ วัคซีนนี้สามารถลดความรุนแรงของการเกิดโรคไข้เลือดออกได้ ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออีกในอนาคต แถมยังลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้กว่า 80%
ถึงแม้ปัจจุบันประสิทธิภาพโดยรวมของวัคซีนจะอยู่ที่ประมาณ 65% ซึ่งอาจดูไม่สูงนัก เพราะวัคซีนนี้ใช้เวลาในการค้นคว้าวิจัยยาวนานมากกว่า 50 ปี เป็นเพราะมีความยากลำบากในทางเทคนิคหลายประการ อย่างไรก็ตามก็ยังมีการวิจัยและพัฒนาต่อไป
คำถามเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก
คำถาม: วัคซีนไข้เลือดออก ถ้าเป็นแล้วควรจะฉีดอีกไหมคะ
คำตอบ 1: สามารถฉีดได้ค่ะ เพราะไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ค่ะ สามารถป้องกันสายพันธุ์อื่นที่ผู้ป่วยยังไม่เคยติดได้ แต่วัคซีนไข้เลือดออกยังไม่สามารถป้องกันได้ 100 %
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสามารถลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลจากไข้เลือดออกได้ และยังสามารถลดอัตราการป่วยมีภาวะเลือดออกรุนแรงจากไวรัสเด็งกี่ได้
วัคซีนนี้ทำมาจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ที่ประกอบด้วยเชื้อไวรัส 4 สายพันธุ์ คือ DEN1 DEN2 DEN3 และ DEN4
ประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้เลือดออก ประวัติการติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน และอายุของผู้ได้รับวัคซีนค่ะ (ตอบโดย Witchuda Onmee (พญ.))
คำตอบ 2: การฉีดวัคซีนไข้เลือดออกยังไม่สามารถป้องกันการเป็นไข้เลือดออกยังได้ 100 เปอร์เซ็นต์ครับ แต่ครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธ์ุ ของไข้เลือดออก ประสิทธิภาพในการป้องกันแต่ละสายพันธ์ุไม่เท่ากัน
โอกาสที่จะเป็นไข้เลือดออกก็ยังเป็นได้อยู่ครับ แต่อาการและความรุนแรงที่เป็นจะน้อยกว่าปกติครับ (ตอบโดย สุเทพ สุขนพกิจ (นพ.))
คำถาม: แพ้ยุงต้องฉีดยาเผื่อไข้เลือดออกไหม
คำตอบ: อาการแพ้ยุงกับไข้เลือดออกไม่เหมือนกันครับ จึงไม่จำเป็นต้องฉีดยาครับ และถึงแม้จะเป็นไข้เลือดออกก็ไม่จำเป็นต้องฉีดยาครับ ควรรับประทานยาแก้แพ้ หรือใช้ยาทาเอาครับ (ตอบโดย สุเทพ สุขนพกิจ (นพ.))
คำถาม: หากไข้เลือดออกยังไม่แสดงอาการ ให้น้ำเกลือก่อนจะหายไหม
คำตอบ 1: การให้สารน้ำเพิ่มเติมที่ปลอดภัยที่สุดคือ การรับประทานน้ำเกลือแร่ทางปากเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำครับ ส่วนการให้ทางหลอดเลือดดำ แพทย์จะพิจารณาจากระยะของโรค ซึ่งการให้มากหรือน้อยเกินไปก็อาจส่งผลให้ผู่ป่วยมีอาการแย่ลงได้ (ตอบโดย กิตติศัพท์ สินน้อย (นพ.))
คำตอบ 2: การรักษาไข้เลือดออกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับขึ้นอยู่กับสภาวะหลาย ๆ อย่าง โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเองครับ (ตอบโดย ชยากร พงษ์พยัคเลิศ (นพ.))
คำตอบ 3: อาการของไข้เลือดออก ถ้ายังกินอาหารได้ ไม่ซึม สัญญาณชีพปกติ ไม่มีเลือดออกก็อาจยังไม่ต้องให้น้ำเกลือครับเพราะว่าถ้าให้ไปก่อน เวลามีอาการช็อก หรือสัญญาณชีพต่ำ อาจจะทำให้น้ำเกิน มีน้ำท่วมปอดได้ครับ (ตอบโดย สุเทพ สุขนพกิจ (นพ.))
คำถาม: ถ้าเคยเป็นไข้เลือดออกแล้วจะเป็นซ้ำอีกไหม
คำตอบ 1: เป็นซ้ำได้ค่ะเพราะเชื้อไข้เลือดออกมีหลายสายพันธ์ุ เป็นแล้วจะไม่เป็นสายพันธ์ุเดิมค่ะ (ตอบโดย วลีรักษ์ จันทร (พว.))
คำตอบ 2: สามารถเป็นได้อีกค่ะ เพราะว่าไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อเด็งกี่ มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ค่ะ หากเราเคยเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์ใดจะมีภูมิแค่สายพันธุ์นั้นค่ะ สามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้อีกอีก 3 สายพันธุ์ค่ะ (ตอบโดย Witchuda Onmee (พญ.))
คำตอบ 3:สามารถเป็นอีกได้ครับ เพราะภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายหลังการรับเชื้อนั้นจะมีอยู่สูงระยะหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถรับเชื้อได้อีก และมีอาการได้อีกครับแต่ไม่น่าจะเป็น 2 หรือ 3 ครั้งในปีเดียวกัน (ตอบโดย ชยากร พงษ์พยัคเลิศ (นพ.))
คำถาม: ผื่นตุ่มไข้เลือดออกกี่วันถึงจะหายคันและหายไปคะ ?
คำตอบ 1: ส่วนใหญ่ผื่นจากไข้เลือดออกมักจะขึ้นหลังจากไข้ลดลงแล้ว ส่วนใหญ่ผื่นจะคันเล็กน้อยและหายเองได้ภายใน 2-3 วันค่ะ (ตอบโดย Buakhao Arpaporn (พญ.))
คำตอบ 2: ผื่นจากไข้เลือดออกมีได้ 2 ระยะ ได้แก่ ระยะไข้สูง เป็นในระยะไข้วันที่ 3 ซึ่งผื่นประเภทนี้อาจไม่คันจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน และอีกระยะหนึ่งคือ ระยะพักฟื้น ผื่นที่ขึ้นจะมีลักษณะเป็นจุดขาวบนรอยปื้นแดง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีอาการคันและเจ็บ แต่อาจพบอาการคันได้ ซึ่งผื่นจะหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์ค่ะ (ตอบโดย สุนิสา โพธิ์พันธ์ (พว.))
โรคไข้เลือดออกแม้จะเป็นโรคอันตราย แต่เราสามารถป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ด้วยการระมัดระวังไม่ให้ยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคกัด และกำจัดแหล่งกำเนิดยุงลายในบริเวณที่อยู่อาศัยให้หมดไป
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
บทความที่เกี่ยวข้อง