ยุง แมลงตัวเล็กที่คอยรบกวน ก่อความรำคาญให้เราได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน เราทราบกันดีว่ายุงเป็นพาหะนำโรคหลายชนิดมาสู่คน แต่ว่าจะมีโรคใดบ้าง แต่ละชนิดจะร้ายแรงขนาดไหน เราควรศึกษาข้อมูลไว้ เพื่อเป็นแนวทางป้องกันไม่ให้โรคจากยุงทำอันตรายเราได้
ชนิดของยุงและการนำโรค
จากการศึกษาพบว่าทั่วโลกมียุงหลากหลายสายพันธุ์ อาศัยได้ทุกพื้นที่ทั่วโลกแต่พบมากในเขตร้อนและเขตอบอุ่น แต่ยุงที่เรารู้จักโดยส่วนใหญ่ มี 4 ชนิด ได้แก่ ยุงก้นปล่อง (Anopheles) ยุงลาย (Aedes) ยุงเสือหรือยุงลายเสือ (Mansonia ) ยุงรำคาญ (Culex)
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
1.ยุงก้นปล่อง
ในประเทศไทยพบยุงก้นปล่องอย่างน้อย 73 ชนิด แต่มีเพียง 3 ชนิดที่เป็นพาหะสำคัญนำโรค ไข้ป่าหรือโรคไข้มาเลเรีย ยุงชนิดนี้พบมากในชนบทแถวชายป่า ชอบไข่ในแอ่งน้ำสะอาด ออกหากินเวลาพลบค่ำ ไปจนถึงเช้าตรู่
2. ยุงลาย
ยุงลายมีลำตัวและขาสีขาวสลับดำ ยุงลายเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก โรคชิกุนคุนยา และไข้สมองอักเสบ มักออกหากินเวลากลางวัน หรือตอนเย็น
3. ยุงเสือหรือยุงลายเสือ
ยุงสีน้ำตาลขนาดใหญ่มีลวดลายแปลกตาบนปีก ออกหากินช่วงหัวค่ำ ถึงตอนเช้าตรู่ เป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง พบมากในภาคใต้ของประเทศไทย
4. ยุงรำคาญ
ยุงรำคาญหรือยุงธรรมดา ตัวไม่โต ลำตัวมีสีเทา ขาและปีกไม่ลาย อาศัยอยู่ในเมืองบริเวณชุมชน ออกหากินทุกเวลา เป็นพาหะที่สำคัญทั้งไวรัสไข้สมองอักเสบและโรคเท้าช้าง
วงจรชีวิตของยุง
ยุงจะพบได้ตลอดปี แต่จะชุกชุมในฤดูร้อน ฤดูฝน พอเข้าฤดูหนาวจะลดลงมาก อายุของยุงจะมีชีวิตนานนับเดือน ยิ่งมีอาหารสมบูรณ์ก็จะมีอายุนานหลายเดือน วงจรชีวิตของยุงมี 4 ระยะ
1. ระยะไข่
ยุงตัวเมียผสมพันธุ์แล้วจะวางไข่ในแหล่งน้ำ โดยยุงแต่ละสายพันธุ์จะวางไข่ในแหล่งน้ำที่แตกต่างกัน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ยุงก้นปล่อง: น้ำสะอาด ไหลริน
- ยุงลาย, ยุงเสือ, และยุงรำคาญ: น้ำนิ่ง น้ำขัง
จากนั้นไข่จะฟักเป็นตัวอ่อน (ลูกน้ำ) ในเวลา 2-3 วัน
2. ระยะตัวอ่อน หรือลูกน้ำ
จะอยู่ในน้ำ เจริญเติบโตหากินในน้ำนาน 5-10 วันจึงจะกลายเป็นตัวแก่หรือตัวโม่ง ซึ่งตัวอ่อนแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีลักษณะการหากินในน้ำที่แตกต่างกันด้วย
- ยุงก้นปล่อง: ลูกน้ำจะลอยตัวทำมุม 90 องศา กับผิวน้ำ
- ยุงชนิดอื่น: จะขนานกับผิวน้ำ
3. ระยะตัวโม่ง
จะหยุดกินอาหารอยู่นาน 2-3 วัน แล้วลอกครอบฟักออกเป็นตัวยุง
4. ระยะตัวยุง
มักเกาะผิวน้ำชั่วครู่ พอปีกแห้ง จึงเริ่มบินหาอาหาร เจริญเติบโต และแพร่พันธุ์ต่อไป
โรคร้ายจากยุงที่ต้องระวัง
ด้วยสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย ทำให้พื้นที่ประเทศของเราเหมาะสมกับการแพร่พันธุ์ของยุง จนเกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่เกิดจากยุงได้ เช่น
โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) มักระบาดหนักในหน้าฝน มียุงลายเป็นพาหะนำโรค นับเป็นโรคที่อันตรายได้ถึงชีวิตหากรักษาไม่ทัน อาการที่เด่นชัดของผู้ป่วยโรคนี้คือ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เมื่อมีอาการรุนแรงขึ้นก็จะมีภาวะเลือดออกบริเวณผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ ทั่วร่างกาย รวมถึงอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ทางเดินอาหาร ตับ ม้าม หากไม่รีบรับการรักษา ผู้ป่วยจะเกิดภาวะวิกฤต คือเกิดภาวะระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวและเกิดอาการช็อก อาจเสียชีวิตได้ภายใน 12-24 ชั่วโมง
วิธีการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุด คือการเจาะเลือด และการตรวจจำนวนเกล็ดเลือด
ส่วนวิธีการรักษาไข้เลือดออกให้หายขาดยังไม่สามารถทำได้ แต่ทำได้เพียงประคับประคองและรักษาตามอาการ เช่น หากมีไข้ก็จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้ หากอาเจียนก็จะให้ยาแก้คลื่นไส้และอาเจียน พร้อมจิบน้ำเกลือหรือให้น้ำเกลือทางเลือด แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น เกล็ดเลือดต่ำ มีเลือดออกมาก เสี่ยงต่อภาวะช็อก แพทย์ก็จะดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่อยู่ในช่วงวิกฤต
โรคไข้มาลาเรีย
มีอีกชื่อเรียกว่า "ไข้ป่า" หรือ "ไข้จับสั่น" มักพบการติดเชื้อในพื้นที่เขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนทั่วโลก มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ซึ่งโรคไข้มาลาเรียเกิดจากเชื้อโปรโตซัวกลุ่ม "พลาสโมเดียม" (Plasmodium) ที่จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของผู้ป่วย โดยอาการเริ่มต้นของโรคไข้มาลาเรียจะมีความเด่นชัด และสังเกตได้ต่อไปนี้
- มีไข้สูงเกิน 40 องศา
- มีอาการหนาวสั่น
- มีภาวะซีดรุนแรง
- ปัสสาวะสีเข้ม
และหากคุณอยู่ หรือเคยเดินทางไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคไข้มาลาเรีย และมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา โดยวิธีการวินิจฉัยโรคไข้มาลาเรียจะเช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออก คือวิธีการตรวจเลือด
วิธีการรักษาโรคไข้มาลาเรีย สามารถรักษาได้โดยใช้ยาให้อาการทุเลาลง หรือจ่ายยาป้องกันหากจำเป็นต้องเดินทางไปในบริเวณที่มีการระบาดของเชื้อไข้มาลาเรีย รวมถึงการฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนโรคไข้มาลาเรียที่ได้รับการยอมรับให้ใช้อย่างแพร่หลายนัก แต่ก็มีหลายชนิดที่กำลังอยู่อยู่ในขั้นตอนพัฒนา
แต่ขณะเดียวกัน ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไข้มาลาเรีย หรือจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาดจริงๆ ก็สามารถดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ เช่น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่กลางแจ้งระหว่างช่วงหัวค่ำ และเช้ามืด เพราะยุงก้นปล่องมักออกหากินในช่วงเวลาดังกล่าว
- สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังให้มากที่สุด
- ทายากันยุง
- ปรึกษาแพทย์เรื่องยาป้องกันมาลาเรีย หากเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ทวีปแอฟริกา หรือบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก
โรคชิกุนคุนยา
มีอีกชื่อเรียกว่า "โรคไข้ปวดข้อยุงลาย" มียุงลายเป็นพาหะนำโรค อาการของผู้ป่วยจะคล้ายกับอาการไข้เลือดออก แต่จะมีอาการผื่นแดงขึ้นตามตัว มีอาการคัน ปวดตามข้อมือ ข้อเท้าและข้ออักเสบ ซึ่งอาการปวดจะเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ผู้ป่วยบางรายอาจปวดถึงขั้นเคลื่อนไหวอวัยวะบางส่วนไม่ได้
เชื้อไวรัสชิกุนคุนยาจะไม่รุนแรงเท่าโรคไข้เลือดออก คือไม่ทำให้มีน้ำเลือดรั่วออกนอกเส้นเลือด ผู้ป่วยจึงไม่มีภาวะช็อกเกิดขึ้น แต่หากโรคนี้เกิดกับผู้สูงอายุที่มีภาวะเจ็บปวดเรื้อรังอยู่แล้ว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ก็อาจส่งผลประทบรุนแรงและทำให้เสียชีวิตได้
วิธีการวินิจฉัยโรคชิกุนคุนยา สามารถทำได้โดยการซักถามประวัติผู้ป่วย หรือตรวจเลือด ซึ่งจะช่วยแยกจากโรคไข้เลือดออก แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาสำหรับรอผล ส่วนวิธีการรักษาการรักษาโรคชิกุนคุนยา จะใช้หลักการเดียวกับไข้เลือดออก คือการรักษาแบบประคับประคอง จ่ายยาตามอาการของผู้ป่วย และให้พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยถูกยุงกัด
โรคเท้าช้าง
โรคเท้าช้างเกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมที่อาศัยตัวคนเป็นแหล่งที่อยู่ และใช้ยุงเป็นพาหะนำเชื้อ โดยไม่ใช่แค่ยุงลายเท่านั้น แต่ทั้งยุงรำคาญ ยุงลายเสือ ยุงก้นปล่องต่างก็เป็นพาหะนำเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเท้าช้างทั้งหมด โรคนี้จะพบมากในประเทศเขตร้อนและชิดเขตร้อน เช่น อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีนตอนใต้ ส่วนประเทศไทยจะพบมากในแถบภาคใต้
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับโรคเท้าช้างมากที่สุดก็คือ ท่อน้ำเหลืองและต่อมน้ำเหลือง เพราะพยาธิจะเติบโตและอาศัยอยู่ในนั้น รวมถึงเข้าไปสู่ระบบน้ำเหลืองจนเกิดความเสียหาย ทำให้ร่างกายสูญเสียการป้องกันเชื้อโรค จนเกิดเป็นการติดเชื้อ ซึ่งเมื่อผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรัง ก็จะเกิดภาวะบวมน้ำเหลือง นำไปสู่อาการเท้าช้าง ลักษณะอาการคือผิวหนังมีความแข็งและหนาขึ้น สามารถเกิดได้ทั้งที่ขาและแขน อวัยวะเพศ บริเวณเต้านมสำหรับเพศหญิงด้วย
วิธีการวินิจฉัยโรคเท้าช้างจะเช่นเดียวกับโรคอื่นๆ ที่เกิดจากยุง นั่นก็คือการตรวจเลือด แต่สำหรับโรคเท้าช้างจะมีการใช้กล้องจุลธรรศน์ตรวจหาตัวอ่อนพยาธิด้วย นอกจากนี้ยังมีวิธีการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ และการตรวจปัสสาวะ
วิธีการรักษาโรคเท้าช้าง จะมีดังต่อไปนี้
- ทานยาตามคำสั่งของแพทย์ อาจเป็นยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ
- ทำความสะอาดบริเวณที่มีอาการบวมของโรคอย่างระมัดจะวัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ทำกายภาพบำบัดหรือออกกำลังกาย ให้น้ำเหลืองในร่างกายมีการเคลื่อนไหวบ้าง
- เฝ้าระวังการเป็นได้ซ้ำหลังหายจากโรค
โรคไข้สมองอักเสบ
สาเหตุของโรคไข้สมองอักเสบในประเทศไทยมาจากเชื้อไวรัสชื่อว่า "แจแปนนีส เอนเซปฟาไลตีส" (JAPANESE ENCEPHALITIS) สามารถเรียกสั้นๆได้ว่า "เชื้อ JE" เป็นโรคที่มักระบาดหนักในฤดูฝน พบได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย แต่จะพบมากที่สุดในภาคเหนือ ตามพื้นที่ชนบทหรือชานเมือง
สาเหตุของไข้สมองอักเสบเกิดจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อโรค ซึ่งได้แก่ทุ่งนาที่มีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะทุ่งนาที่เลี้ยงหมูถือเป็นตัวแพร่พันธุ์สำคัญของโรคไข้สมองอักเสบ เพราะเป็นพื้นที่ทุ่งนาและมีน้ำขังจะเหมาะกับการแพร่พันธุ์ของยุง Culex tritaeniorrhynchus ซึ่งเป็นพาหะนำโรค โดยยุงชนิดนี้จะเป็นยุงนอกบ้าน มักออกหากินเวลาค่ำ
กระบวนการแพร่เชื้อของโรคนี้จะเริ่มจากยุงที่มีเชื้อ JE กัดลูกหมูที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน แล้วเชื้อโรคก็จะเข้าไปเจริญเติบโตในตัวลูกหมู และเกิดการขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อยุงตัวอื่นมากัดลูกหมูแล้วไปกัดคนที่ไม่ภูมิคุ้มกันโรคต่อ ก็จะเกิดการติดเชื้อในคนได้ ซึ่งเชื้อไวรัส JE จะทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อสมองทั่วๆ ไป หรือแค่เฉพาะที่ จนทำให้เกิดการอักเสบของเยื้อหุ้มสมอง ซึ่งอยู่ติดกับเนื้อสมองไปด้วย
อาการของโรคไข้สมองอักเสบจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน บางคนได้รับเชื้อแต่ไม่เกิดโรค บางคนเกิดอาการแต่ไม่มาก ซึ่งทางที่ดีหากรู้สึกว่าตนเองมีความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรรีบเข้ารับการรักษาไว้ก่อนเพราะโรคไข้สมองอักเสบสามารถลุกลามถึงขั้นสมองบวม เกิดการอัมพาตของประสาทสมองคู่ต่างๆ บริเวณก้านสมองได้ อาจมีการหยุดหายใจได้หากอยู่ในระยะอาการรุนแรง และถึงแก่ชีวิต
การวินิจฉัยโรคไข้สมองอักเสบต้องอาศัยข้อมูลดังต่อไปนี้
- ประวัติ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย สัตว์เลี้ยง
- น้ำไขสันหลัง
- ระดับแอนติบอดีในน้ำไขสันหลัง
- การตรวจเลือด
วิธีการรักษาโรคไข้สมองอักเสบ ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาเฉพาะ แต่เป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการผู้ป่วยเช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออก ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัด เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพกล้ามเนื้อ
ส่วนวิธีป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ ในกรณีที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้สมองอักเสบ ได้แก่
- กำจัดยุง รวมถึงแหล่งเพาะพันธุ์ยุง หากเป็นไปได้ให้กำจัดแหล่งน้ำขังด้วย
- ป้องกันอย่าให้ยุงกัด ให้นอนในมุ้งมิดชิด อย่านอนเล่นนอกบ้านในช่วงพลบค่ำ
- หากต้องเลี้ยงสัตว์เช่น หมู วัว ควาย ให้สร้างคอกสัตว์อยู่ห่างจากบ้านพอสมควร
- ฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งสามารถฉีดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
คำถามจากผู้ป่วยท่านอื่นเกี่ยวกับโรคเกิดจากยุง
แพ้ยุงมากโดนกัดแล้วตุ่มบวมใหญ่มาก รักษาไม่หายสักที ควรทำอย่างไรคะ?
คำตอบ ที่จริงคือแพ้สารโปรทีนในน้ำลายยุง ร่างกายจึงมีปฏิกิริยาแพ้ การแพ้เกิดได้ทั้งตรงตำแหน่งที่ถูกกัด และเกิดพร้อมๆ กันกับผิวหนังบริเวณอื่น(ที่ไม่ถูกกัด) อย่างหลังนี้เรียกว่า ปฏิกิริยาแพ้ยุง ตุ่มยุงกัด และตุ่มปฏิกิริยาแพ้ยุง มักเป็นตุ่มนูนบวมขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนตุ่มลมพิษขนาดเล็ก และเมื่อถูกกัดแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นรอยคล้ำอยู่นาน ก็ต้องทายาต้านการอักเสบ คือครีมสเตรอยด์ เช่น 0.1% Hydrocortisone cream, 0.05% Prednisolone cream อาการคัน และปฏิกิริยาแพ้ ลดลงโดยการทานยาต้านฮิสทามีน - ตอบโดย สุเทพ สุขนพกิจ (นพ.)
เวลาโดนยุงกัดแล้วเกิดผื่นแล้วเม็ดคล้ายๆ แผลพุพองขึ้นเกิดจากอะไรคะ?
คำตอบ อาจจะเกิดจากการแพ้น้ำลาย หรือสารบางอย่างจากยุงค่ะ ทำให้ร่างกายมีการตอบสนองไม่เหมือนคนทั่วไป โดยมีผื่นที่ดูรุนแรงกว่าคนปกติ คล้ายๆ กับคนที่ถูกแมลงกัดแล้วมีผื่นแดงคันขึ้นค่ะ - ตอบโดย วิภา สุวรรณชีวะศิริ (พญ.)
ขาลายเพราะโดนยุงกัด จะรักษาให้แผลจางลงยังไงคะ?
คำตอบ 1 รอยด่างดำที่เคยเป็นการใช้ยาอาจได้ผลน้อยครับ แนะนำการเลเซอร์ผิวสามารถช่วยได้บ้างครับ - ตอบโดย ชยากร พงษ์พยัคเลิศ (นพ.)
คำตอบ 2 งดการแกะเกาเพิ่ม ทายารักษารอยแผลเป็นเช่น Hiruscar รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และทำเลเซอร์ค่ะ - ตอบโดย นิชดา พงษ์ธัญญกรณ์ (พญ.)
ผื่นแพ้ยุงรักษายังไงคะ?
คำตอบ ก่อนจะบอกว่าแพ้ยุงได้อาจจะต้องดูก่อนนะครับว่าผื่นที่เกิดจากยุงกัดของเรามีขนาดหรือความรุนแรงกว่าคนทั่วไปหรือไม่ หรืออาจจะทดสอบด้วยการตรวจ skin prick test เพื่อยืนยันว่าเราแพ้ยุงจริงๆ ในกรณีที่ผื่นยุงไม่ได้เป็นมาก อาจจะใช้ยาสามัญประจำบ้านที่เรามีอยู่เช่น calamine lotion ทาเพื่อลดอาการคันและทำให้เย็นลงก่อนได้ครับ หรืออาจจะทานยาแก้แพ้ เช่น chlorpheniramine(CPM) แต่ยาตัวนี้จะทำให้ง่วงหน่อยนะครับ แต่ถ้าผื่นเป็นมากอาจจะต้องใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ร่วมด้วย ซึ่งอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยานะครับ ในกรณีที่โดนยุงกัดแล้วผื่นรุนแรง การป้องกันไม่ให้โดนยุงกัดเป็นสิ่งที่สำคัญนะครับ เช่นการสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด การนอน หลีกเลี่ยงแหล่งที่มียุงชุม กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ใช้ยาจุดกันยุง หรือยาทากันยุง หรืออาจจะใช้สารหอมระเหย เช่นตะไคร้หอม น้ำมันยูคาลิปตัส ก็ช่วยได้ครับ - ตอบโดย Rattapon Amampai (Dr.)
แพ้ยุง ต้องฉีดยาเผื่อไข้เลือดออกไหม?
คำตอบ อาการแพ้ยุง กับ ไข้เลือดออก ไม่เหมือนกันครับ จึงไม่จำเป็นต้องฉีดยาครับและถึงแม้จะเป็นไข้เลือดออกก็ไม่จำเป็นต้องฉีดยาครับ ควรทานยาแก้แพ้หรือใช้ยาทาเอาครับ - ตอบโดย สุเทพ สุขนพกิจ (นพ.)