มันแกว เป็นไม้เลื้อย มีใบเป็นใบประกอบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ออกเรียงสลับ ดอกเป็นช่อ ออกที่ซอกใบ มีขนสีน้ำตาล กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน ผลเป็นฝัก รูปขอบขนาน มีขน ในผลมีเมล็ด 4-9 เมล็ด ส่วนที่คนนิยมบริโภคคือหัวใต้ดินที่เกิดจากรากสะสมอาหาร มีลักษณะกลมแป้น เปลือกบาง มีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อข้างในสีขาว อวบน้ำ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pachyrhizus erosus (L.) Urb.
ชื่อวงศ์ Leguminosae
ชื่อสามัญ Jicama, Yam bean
ชื่ออื่นๆ มันแกว (กลาง), หัวแปะกัวะ (ใต้), มันแกวละแวก มันแกวลาว (เหนือ), มันเพา (อีสาน)
สารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการของมันแกว
มันแกวดิบ 100 กรัม ให้พลังงาน 38 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยสารอาหารดังต่อไปนี้
- คาร์โบไฮเดรต 17.47 กรัม
- น้ำตาล 1.8 กรัม
- ใยอาหาร 4.9 กรัม
- ไขมัน 0.09 กรัม
- โปรตีน 0.72 กรัม
- น้ำ 90.07 กรัม
นอกจากนี้มันแกวยังประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส
ประโยชน์ของมันแกว
ส่วนต่างๆ ของมันแก้วมีประโยชน์ดังนี้
- หัวมันแกวสด รับประทานเป็นผลไม้ นำมาทำขนม และนำมาประกอบอาหารได้
- ฝักและเมล็ดอ่อนของมันแกว สามารถนำมาต้ม หรือรับประทานสดเป็นผักเคียง
- เมล็ดแก่มันแกว นำมาบด สกัดเป็นยาฆ่าแมลง
สรรพคุณของมันแกว
มันแกวเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก ดังนี้
- หัวมันแกวมีรสหวาน เย็น ช่วยแก้กระหาย บรรเทาอาการปวดศีรษะ ความหวานของมันแกวมาจาก อินูลิน (Inulin) เป็นน้ำตาลโอลิโกฟรุกโตส (Oligofructose) ซึ่งร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ อินนูลิน ยังสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
- มันแกวมีใยอาหารสูง ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น
- ใบมันแก้ว สามารถรับประทานเป็นยาขับพยาธิ และใช้ภายนอกสำหรับช่วยรักษาโรคผิวหนัง
- เมล็ดและน้ำมันเมล็ดมันแกวมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และสารสกัดจากเมล็ดมันแกวใช้เป็นยาภายนอก ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้เช่นกัน
ข้อควรระวังของการใช้มันแกว
แม้จะมีประโยชน์ และการรับประทานมันแกวก็มีข้อควรระวังอยู่บ้าง ดังนี้
- เมล็ดแก่ของมันแกว มีสารพิษหลายชนิดที่ออกฤทธิ์เป็นยาฆ่าเเมลง และมีสารโรทโนน (Rotenone) เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นยาระบายที่ออกฤทธิ์รุนแรง
- ใบมันแกวมีสารพาคีไรซิด (Pachyrrhizid) ซึ่งเป็นพิษต่อสัตว์
พิษของมันแกวจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ทางเดินหายใจ สารโรทโนนทำให้หยุดหายใจ ชัก และอาจเสียชีวิตได้