อาหารที่คุณรับประทานอยู่ทุกวัน จำเป็นที่จะต้องให้สารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ วิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน วิตามินเอนั้นคุณมีประโยชน์มากมายต่อร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงสายตา การแบ่งตัวของเซลล์ และช่วยเรื่องระบบสืบพันธุ์ เป็นเรื่องไม่ยากที่เราจะรับวิตามินเอให้เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน เนื่องจากวิตามินเอสามารถพบได้ในอาหารที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน
วิตามินเอในอาหารมีอะไรบ้าง
วิตามินเอสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด แต่จะมีรูปแบบแตกต่างกันไปในสัตว์และในพืช
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
1. รูปแบบของวิตามินเอที่พบในสัตว์
วิตามินเอที่พบในสัตว์จะได้แก่ เรตินอล (Retinol) ซึ่งเป็น "วิตามินเอรูปแบบพร้อมออกฤทธิ์" (Preformed vitamin A) รูปแบบหนึ่ง และร่างกายยังสามารถเปลี่ยนวิตามินเอในเนื้อสัตว์ให้เป็นสารอนุพันธ์เรตินาล (Retinal) หรือ กรดเรติโนอิก (Retinoic acid) ซึ่งเป็นวิตามินเอพร้อมออกฤทธิ์อีก 2 รูปแบบได้อีกด้วย โดยแหล่งอาหารที่เต็มไปด้วยเรตินอล ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ และ อาหารเสริมสารอาหาร
2. รูปแบบวิตามินเอที่พบในพืช
ส่วนรูปแบบของวิตามินเอที่พบในพืช จะเรียกว่า "สารแคโรทีนอยด์" (Carotenoids) ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารกว่า 600 ชนิด แต่ชนิดที่พบได้บ่อยและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี จะได้แก่
- เบตา-แคโรทีน (Beta-carotene)
- แอลฟา-แคโรทีน (Alpha-carotene)
- เบตา-คริพโตซานทิน (Beta-cryptoxanthin)
- ไลโคพีน (Lycopene)
- ลูทีน (Lutein)
- ซีแซนทีน (Zeaxanthin)
นอกจากนี้ ร่างกายของเรายังสามารถเปลี่ยนสารแคโรทีนอยด์เหล่านี้ให้เป็นเรตินอลได้ด้วย ซึ่งแหล่งอาหารที่เต็มไปด้วยสารแคโรทีนอยด์นั้น ได้แก่ ผักสีสด และผักใบเขียว เช่น แครอท ผักโขม ผักคะน้า และผลไม้ เช่น อินทผาลัม มะละกอ มะม่วง
อาการพร่องวิตามินเอ
โดยปกติแล้วจะไม่ค่อยพบอาการพร่องวิตามินเอในคนปกตินัก เนื่องจากวิตามินเอสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด แต่หากคุณไม่ได้รับวิตามินเอให้เพียงพอมาเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถทำให้เกิดโรคตามัวตอนกลางคืน (Night blindness) ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถมองภาพได้ชัดเจนในที่ที่แสงสว่างไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลงและมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคได้ยากขึ้น
นอกเหนือจากอาการพร่องวิตามินเอ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอแล้ว อาการพร่องวิตามินเอก็สามารถเกิดขึ้นได้จากการอักเสบในส่วนของทางเดินอาหาร และโรคที่ไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร ซึ่งส่งผลให้ระดับวิตามินเอในร่างกายลดน้อยลง ได้แก่
- โรคโครห์น (Crohn’s disease)
- โรคแพ้กลูเตน (Celiac disease)
- โรคพิษสุราเรื้อรัง
- การขาดธาตุสังกะสี
- โรคตับอ่อน
หากคุณมีอาการของโรคที่กล่าวมาข้างต้น คุณควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็กผลเลือดว่า มีระดับวิตามินเอในร่างกายเป็นปกติหรือไม่
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ภาวะการได้รับวิตามินเอเกินขนาด
ภาวะการได้รับวิตามินเอเกินขนาด (Hypervitaminosis A) คือ ภาวะที่ร่างกายได้รับวิตามินเอมากเกินไปในระยะหนึ่ง จนสามารถทำให้เกิดปัญหาโรคตับ กระดูกอ่อนแอ และทำให้ทารกในครรภ์พิการแต่กำเนิดได้
เราทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับวิตามินเอมากเกินไปได้หากไม่ระมัดระวัง ซึ่งวิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันได้ จึงสามารถเก็บสะสมอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานาน นอกจากนี้ คุณอาจเผชิญกับการได้รับวิตามินเอมากเกินไปจากการรับประทานอาหารเสริม ซึ่งค่าสูงสุดในผู้บริโภควัยผู้ใหญ่ที่จะรับวิตามินเอได้คือ 10,000 ไมโครกรัม และการรับประทานอาหารเสริมที่มีวิตามินเอเป็นปริมาณมากจะสามารถส่งผลให้มีอาการต่อไปนี้
การรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอ
มีอาหารเสริมหลากหลายยี่ห้อที่อ้างเอาสรรพคุณของวิตามินเอเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งจะอ้างถึงสรรพคุณมีสารต้านอนุมูลอิสระ และปลอดภัยกว่าอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอรูปแบบพร้อมออกฤทธิ์
แต่อย่างไรก็ตาม หากร่างกายได้รับสารแคโรทีนอยด์มากเกินไป ก็สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน โดยจะทำให้ผิวของคุณดูเหลืองส้มขึ้น และยังเพิ่มโอกาสทำให้เป็นโรคมะเร็งปอดมากขึ้นด้วยแทนที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ขึ้น
นอกจากนี้ ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของแคโรทีนอยด์ยังมีข้อสรุปที่แตกต่างกันไป และส่วนมาก ผู้บริโภคมักรับข้อมูลทางโภชนาการของอาหารเสริมผ่านสื่อโฆษณาอย่างเดียว แต่ยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าควรรับประทานอาหารเสริมในปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสม
ดังนั้น การรับสารแคโรทีนอยด์ผ่านการรับประทานอาหารทั่วไป จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการรับสารแคโรทีนอยด์ผ่านอาหารเสริม เพราะนอกเหนือจากสารแคโรทีนอยด์แล้ว คุณยังจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่หลากหลาย ทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์อีกมากมายจากอาหารที่รับประทานด้วย