หากเซลล์ภายในช่องคลอดเกิดการแบ่งตัวผิดปกติ และไม่สามารถควบคุมได้จะเรียกว่า โรคมะเร็งช่องคลอด โรคดังกล่าวมักทำให้เกิดเลือดออกจากช่องคลอดอย่างผิดปกติ เช่น เลือดออกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์
บทนำ
โรคมะเร็งช่องคลอด (Vaginal cancer) เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่พบได้ยากโดยเริ่มต้นเป็นมะเร็งจากเซลล์ภายในช่องคลอด
ตรวจมะเร็งสำหรับผู้หญิงวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 495 บาท ลดสูงสุด 79%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
มะเร็งที่เริ่มเกิดขึ้นในช่องคลอดเป็นแห่งแรกจะเรียกว่ามะเร็งช่องคลอดปฐมภูมิ (Primary vaginal cancer) ส่วนมะเร็งที่เริ่มเป็นในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ปากมดลูก มดลูก หรือรังไข่แล้วเซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังช่องคลอดเรียกว่าเป็น มะเร็งช่องคลอดทุติยภูมิ (Secondary vaginal cancer)
บทความนี้จะกล่าวถึงมะเร็งช่องคลอดปฐมภูมิเป็นหลักซึ่งจะมีบทความแยกต่างหากเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ และมะเร็งมดลูกต่อไปในบทความอื่น
อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็งช่องคลอด
อาการที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคมะเร็งช่องคลอด คือ เลือดออกอย่างผิดปกติจากช่องคลอด ได้แก่:
- มีเลือดออกในช่วงระหว่างรอบเดือน หรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกจากช่องคลอดในช่วงวัยหมดประจำเดือน (Post-menopausal bleeding)
อาการอื่น ๆ นั้นได้แก่:
- มีของเหลวกลิ่นเหม็นหรือคาวเลือดออกมาทางช่องคลอด
- เกิดความเจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- เกิดความเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ
- ต้องปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
- พบเลือดปนในปัสสาวะของคุณ
- อาการปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
- คันหรือพบก้อนเนื้อในบริเวณช่องคลอดของคุณ
ให้เข้าพบแพทย์ประจำตัวของคุณโดยด่วน หากพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดที่ไม่ปกติ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของช่วงรอบเดือน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรือปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ
แม้ว่าจะมีอาการเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากโรคมะเร็งช่องคลอดก็ตาม แต่ก็ควรได้รับการตรวจสอบให้ชัดเจนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการรักษาสาเหตุอย่างเหมาะสม
ตรวจมะเร็งสำหรับผู้หญิงวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 495 บาท ลดสูงสุด 79%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สาเหตุของโรคมะเร็งช่องคลอด
สาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งในช่องคลอดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งช่องคลอด ได้แก่
- การติดเชื้อ Human papilloma virus (HPV) ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
- อายุที่มากขึ้น - 7 คนจาก 10 คนที่เป็นโรคมะเร็งช่องคลอดมีอายุเกิน 60 ปี แม้ว่าจะมีโรคมะเร็งช่องคลอดบางประเภทที่พบได้ยาก สามารถส่งผลกระทบต่อหญิงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นได้เช่นกัน
- ประวัติเคยเป็นภาวะเซลล์เยื่อบุผิวช่องคลอดเจริญผิดปกติ (Vaginal intraepithelial neoplasia: VAIN) หรือภาวะเซลล์ปากมดลูกเจริญผิดปกติ (Cervical intraepithelial neoplasia: CIN) - เซลล์ที่ผิดปกติดังกล่าวในช่องคลอดหรือปากมดลูกอาจพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
เนื่องจากโรคนี้มีความสัมพันธ์กับเชื้อไวรัส HPV ดังนั้น จึงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องคลอดได้โดยการมีเพศสัมพันธ์อย่างป้องกันและปลอดภัย
การฉีดวัคซีน HPV สามารถช่วยป้องกัน HPV 2 สายพันธุ์ ซึ่งสัมพันธ์กับสาเหตุในกรณีส่วนใหญ่ของมะเร็งช่องคลอดและมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน
การรักษามะเร็งช่องคลอด
การรักษามะเร็งช่องคลอดขึ้นอยู่กับว่าส่วนใดของช่องคลอดของคุณที่ได้รับผลกระทบ และระยะแพร่กระจายของมะเร็งดังกล่าวรุนแรงเท่าใด
ทางเลือกการรักษาหลักสำหรับโรคมะเร็งช่องคลอด ได้แก่:
- การฉายรังสีรักษา - โดยใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
- การผ่าตัด - เพื่อขจัดเซลล์มะเร็ง
- เคมีบำบัด - ใช้ยาในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งมักใช้ร่วมกับรังสีรักษา
การรักษาเหล่านี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นและระยะยาว คุณควรปรึกษากับทีมดูแลโรคมะเร็งของคุณก่อนเริ่มการรักษา
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
พยากรณ์โรคมะเร็งช่องคลอด
โอกาสของการรักษามะเร็งช่องคลอดให้หายขาดขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะของโรคมะเร็งขณะได้รับวินิจฉัย อายุ และสุขภาพโดยทั่วไปของคุณ
โดยรวมแล้ว ประมาณ 6 ในทุก 10 รายที่เป็นโรคมะเร็งช่องคลอดจะมีชีวิตอยู่อย่างน้อย 5 ปีหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค
สาเหตุของโรคมะเร็งช่องคลอด
โรคมะเร็งเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในบริเวณร่างกายของคุณแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนมากเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้ ก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นรู้จักกันในชื่อว่าเนื้องอก
เหตุผลว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยบางอย่างอาจเพิ่มโอกาสในการพัฒนาโรคมะเร็งให้เกิดขึ้นได้
การติดเชื้อ Human papilloma virus (HPV)
Human papilloma virus เป็นชื่อของกลุ่มไวรัสที่มีผลกระทบต่อเซลล์ผิวหนังและเยื่อบุผิวที่ชุ่มชื้นเช่นเดียวกับที่พบในปาก ปากมดลูก ทวารหนัก คอหอยและลำคอ เชื้อไวรัส HPV สามารถติดต่อกันได้ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนักและทางช่องปาก
เชื้อไวรัส HPV มีหลายประเภท และมีคนทั่วไปอย่างน้อย 8 ใน 10 คนติดเชื้อไวรัสดังกล่าวชนิดใดชนิดหนึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งของพวกเขา ในกรณีส่วนใหญ่ ไวรัสจะหายไปได้เองโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ และไม่ทำให้เกิดมะเร็งในช่องคลอด
อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัส HPV พบในผู้ป่วยหญิงที่เป็นโรคมะเร็งช่องคลอดสูงถึงสองในสาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวบางสายพันธุ์สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งช่องคลอดได้
เชื้อไวรัส HPV เป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์เยื่อบุปากมดลูก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก และคาดว่าไวรัสดังกล่าวอาจส่งผลเช่นเดียวกันกับเซลล์เยื่อบุผิวช่องคลอดเช่นเดียวกัน
เซลล์ผิดปกติในปากมดลูกหรือช่องคลอด
คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมะเร็งในช่องคลอดมากขึ้น หากพบว่าคุณมีเซลล์ผิดปกติใน:
- ปากมดลูก - เรียกว่าภาวะเซลล์ปากมดลูกเจริญผิดปกติ (Cervical intraepithelial neoplasia: CIN)
- ช่องคลอด - เรียกว่าภาวะเซลล์ช่องคลอดเจริญผิดปกติ (Neoplasia intraepithelial neoplasia: VAIN)
CIN และ VAIN เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายถึงการพบเซลล์ที่มีความผิดปกติ แต่ไม่รุนแรงมากพอที่จะถือว่าเป็นเซลล์มะเร็ง ภาวะทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการติดเชื้อไวรัส HPV ซ้ำ ๆ
โดยทั่วไป เซลล์ผิดปกติมักไม่ทำให้เกิดปัญหาใด ๆ และอาจถูกตรวจพบได้เฉพาะช่วงระหว่างการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แต่หากภาวะเซลล์ผิดปกติดังกล่าวไม่ได้รับการรักษาก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
หากคุณพบว่ามีภาวะ CIN หรือ VAIN อาจต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือกระบวนการในการกำจัดหรือทำลายเซลล์ที่ผิดปกติเพื่อป้องกันโรคในอนาคต
ยา Diethylstilbestrol
ยาชื่อว่า diethylstilbestrol เป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งช่องคลอด ยาดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในการใช้ในสตรีตั้งครรภ์ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2481 ถึง พ.ศ. 2514 เพราะแพทย์ในสมัยนั้นคิดว่ายาดังกล่าวสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการแท้งบุตรได้
อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ.2514 นักวิจัยพบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างยา diethylstilbestrol กับโรคมะเร็งในเด็กผู้หญิงที่ได้รับยาดังกล่าว การใช้ diethylstilbestrol ในหญิงตั้งครรภ์จึงถูกจำกัดการใช้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งช่องคลอดที่สัมพันธ์กับยา diethylstilbestrol มีน้อยมากและกว่า 40 ปีแล้วที่ยาดังกล่าวถูกห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ดังนั้น กรณีของโรคมะเร็งช่องคลอดที่สัมพันธ์กับยาดังกล่าวจึงพบได้ยากมาก
ปัจจัยที่เป็นไปได้อื่น ๆ
ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งช่องคลอด ได้แก่ :
- อายุของคุณ - 7 ใน 10 รายของผู้ป่วยมะเร็งในช่องคลอดเกิดขึ้นในผู้หญิงที่อายุมากกว่า 60 ปี และพบโรคดังกล่าวน้อยมากในสตรีอายุต่ำกว่า 40 ปี
- มีประวัติเกี่ยวกับโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์อื่น ๆ เช่น โรคมะเร็งปากมดลูกหรือโรคมะเร็งปากช่องคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีรักษาร่วมด้วย
- การสูบบุหรี่
- การติดเชื้อเอชไอวี
การวินิจฉัยโรคมะเร็งช่องคลอด
เพื่อประกอบการตัดสินใจวินิจฉัยโรคมะเร็งช่องคลอด แพทย์ประจำตัวของคุณจะซักถามคุณเกี่ยวกับอาการของคุณ และอาจทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังอาจแนะนำให้คุณตรวจเลือดเพื่อขจัดสาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ของอาการของคุณออกไป เช่น การติดเชื้อ
หากแพทย์ประจำตัวของคุณไม่สามารถคาดหาสาเหตุของอาการของคุณได้อย่างแน่ชัด พวกเขาอาจจะแนะนำให้คุณไปหาสูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจทดสอบต่อไป สูตินรีแพทย์เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
หากแพทย์ประจำตัวคุณแจ้งว่าคุณอาจเป็นโรคมะเร็งช่องคลอด ควรเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่ออย่างเร่งด่วนภายใน 2 สัปดาห์
การเข้าพบสูตินรีแพทย์
หากคุณถูกส่งตัวไปสูสูตินรีแพทย์คุณอาจได้รับการตรวจเพิ่มเติมดังนี้:
- การตรวจช่องคลอดทั้งลักษณะภายนอกและลักษณะภายในเพื่อค้นหาก้อนเนื้อหรืออาการบวมที่ผิดปกติ
- การส่องตรวจช่องคลอด (Colposcopy)- การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษชื่อว่าคอลโปสโคป (colposcope) ที่ทำหน้าที่เหมือนแว่นขยายเพื่อศึกษาลักษณะภายในช่องคลอดของคุณโดยละเอียด
หากสูตินรีแพทย์คาดว่าอาจมีเนื้อเยื่อที่ผิดปกติอยู่ในช่องคลอดของคุณ จะมีการผ่าตัดเพื่อตัดนำตัวอย่างเนื้อเยื่อเล็ก ๆ ออกมาศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อหาเซลล์มะเร็ง กระบวนการนี้เรียกว่า การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy)
หากผลการตัดตรวจชิ้นเนื้อบ่งชี้ว่า คุณเป็นมะเร็ง คุณอาจได้รับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปตำแหน่งอื่นบ้างหรือไม่
การตรวจเหล่านี้อาจได้แก่ การตรวจภายในช่องคลอดอย่างละเอียดเพิ่มเติมซึ่งดำเนินการภายใต้การดมยาสลบภายในห้องผ่าตัด การถ่ายภาพรังสีเอกซ์ การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือการทำซีที (CT scans) และการสแกนภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการทำเอ็มอาร์ไอ (MRI)
การจัดระยะโรคมะเร็งช่องคลอด
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลโรคมะเร็งจะใช้ระบบการจัดระยะของโรคเพื่ออธิบายว่ามะเร็งช่องคลอดมีการลุกลามไปมากน้อยเพียงใด
- ระยะ 1 - มะเร็งเพิ่งเริ่มเติบโตขึ้นในผนังช่องคลอด
- ระยะ 2 - มะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปนอกช่องคลอดเข้าไปสู่เนื้อเยื่อรอบข้าง
- ระยะ 3 - มะเร็งได้แพร่กระจายเข้าไปในบริเวณอุ้งเชิงกรานของคุณ และอาจแพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียง
- ระยะ 4a - มะเร็งได้แพร่กระจายไปไกลกว่าช่องคลอด และเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ตรง
- ระยะ 4b - มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะสำคัญต่าง ๆ เช่น ปอด
ระยะของโรคมะเร็งของคุณมีความสำคัญในการพิจารณาว่าการรักษาแบบใดเหมาะสมกับคุณมากที่สุด และเพื่อประเมินว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งดังกล่าวได้หายขาดหรือไม่ โดยทั่วไป ยิ่งระยะของโรคมะเร็งตอนได้รับการวินิจฉัยต่ำมากเท่าใด มะเร็งมีโอกาสหายขาดมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าการรักษาให้หายขาดไม่สามารถทำได้ ยังมีการรักษาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการและชะลอการแพร่กระจายของมะเร็งได้ เรียกว่าการดูแลรักษาแบบประคับประคอง
การรักษาโรคมะเร็งช่องคลอด
การรักษามะเร็งช่องคลอดจะขึ้นอยู่กับว่ามะเร็งอยู่ตำแหน่งใดภายในช่องคลอดของคุณ และแพร่กระจายไปได้ไกลมากแค่ไหน ทางเลือกในการรักษาที่มักใช้ ได้แก่ การรักษาด้วยการฉายรังสี การผ่าตัด และเคมีบำบัด
เมื่อคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งช่องคลอด คุณจะได้รับการดูแลจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายสาขาร่วมกันซึ่งเรียกว่า ทีมสหสาขาวิชาชีพ
ทีมสหสาขาวิชาชีพของคุณจะมีผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ มากมาย เช่น ศัลยแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง เป็นต้น
ทีมดูแลของคุณจะแนะนำแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ แต่การตัดสินใจว่าจะเข้ารับการรักษาหรือไม่ และอย่างไรจะเป็นของคุณ
ก่อนที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อหารือเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาของคุณ คุณอาจพบว่าการเขียนรายการคำถามเพื่อถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก ตัวอย่างเช่น คุณอาจต้องการทราบข้อดีและข้อเสียของการรักษาบางอย่างที่อาจต้องทำ หรือได้ยินมา
การฉายรังสีรักษา
รังสีรักษาเป็นทางเลือกการรักษาหลักของโรคมะเร็งช่องคลอด โดยอาจใช้เพื่อ:
- เป็นการรักษาเริ่มต้นในการรักษามะเร็ง
- ทำร่วมกับเคมีบำบัด
- ทำหลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ
- เพื่อควบคุมอาการเมื่อไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เรียกว่า การรักษาด้วยรังสีรักษาแบบประคับประคอง
ประเภทของการฉายรังสีรักษา
มี 2 วิธีหลัก ๆ ที่สามารถให้การฉายรังสีรักษามะเร็งช่องคลอด:
- การฉายรังสีรักษาภายนอก -เครื่องผลิตรังสีที่มีพลังงานสูงจะยิงส่งลำรังสีไปยังช่องคลอดและอุ้งเชิงกรานของคุณ
- การฉายรังสีรักษาจากภายใน - อุปกรณ์กักเก็บกัมมันตภาพรังสีขนาดเล็กซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแท่งผ้าอนามัยจะถูกใส่เข้าไปในช่องคลอดของคุณเพื่อปลดปล่อยรังสีออกมาฆ่าเซลล์มะเร็ง
ประเภทของการฉายรังสีรักษาที่คุณจะได้รับขึ้นอยู่กับว่าตำแหน่งของมะเร็งของคุณนั้นอยู่ตำแหน่งใด ตัวอย่างเช่น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้การฉายรังสีจากภายในหากมะเร็งยังอยู่เพียงผิวช่องคลอดของคุณ และอาจแนะนำให้ทำการฉายรังสีจากภายนอกหากก้อนมะเร็งอยู่ลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อของช่องคลอดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหญิงหลายคนได้รับรังสีรักษาทั้งภายในและภายนอกร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
โดยปกติ การฉายรังสีภายนอกจะใช้เวลาสั้น ๆ และทำต่อเนื่องประมาณ 4-6 สัปดาห์ ทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ คุณสามารถกลับบ้านได้หลังจากรับรังสีรักษาและมีช่วงหยุดพักช่วงสุดสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
ส่วนการรักษาด้วยการฉายรังสีจากภายในนั้นจะใช้ช่วงระยะเวลาการรักษาที่ยาวนานมากขึ้น และคุณจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาล 24 ชั่วโมง หรือมารับการรักษาช่วงสั้น ๆ แต่หลายวันมากขึ้น
ผลข้างเคียงของการฉายรังสีรักษา
หลังจากได้รับรังสีรักษาแล้วคุณอาจเกิดผลข้างเคียงบางอย่าง ผลข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากการฉายรังสีรักษาทำให้เซลล์บางส่วนที่ปกติถูกทำลายไปด้วยบางส่วน
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นของการฉายรังสีสำหรับมะเร็งช่องคลอด ได้แก่ :
- ผิวหนังแสบแดงคล้ายกับการถูกแดดเผา
- อาการตกขาว
- เจ็บปวดขณะปัสสาวะ
- อาการท้องร่วง
- เมื่อยล้าหมดแรง
- คลื่นไส้
- ช่องคลอดแคบลง
- เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนก่อนวัย และภาวะเป็นหมัน
ผลกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์
การฉายรังสีรักษาอาจทำให้คุณหมดอารมณ์ทางเพศโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเกิดอาการข้างเคียงขึ้น เช่น หมดแรงเมื่อยล้า หรืออาการคลื่นไส้ หรือคุณกังวลเกี่ยวกับภาวะของโรคหรือขั้นตอนการรักษาของคุณ
การฉายรังสีรักษายังสามารถทำให้เกิดแผลหรือแผลเป็นในช่องคลอดของคุณซึ่งจะทำให้ทางช่องคลอดแคบลง และทำให้การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องยากหรือไม่สะดวก
หากคุณรู้สึกว่ายังมีอารมณ์และพร้อมกับการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ ทีมแพทย์ผู้ดูแลของคุณอาจแนะนำให้คุณมีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอในระหว่างการรักษา เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้การมีแผลเป็นและการหดลงของช่องคลอด นอกจากนี้ ยังสามารถใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าเครื่องขยาย (Dilator) สอดเข้าไปในช่องคลอดภายหลังจากการทำรังสีรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้ช่องคลอดของคุณตีบแคบลง
นอกจากนี้ คุณยังอาจพบว่าช่องคลอดของคุณแห้งหรือมีอาการเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คุณสามารถลองใช้เจลหล่อลื่นหรือแจ้งให้ทีมดูแลของคุณทราบเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่เป็นไปได้
วัยหมดประจำเดือนและการเป็นหมัน
หากคุณได้รับการฉายรังสีรักษาภายนอกไปยังบริเวณอุ้งเชิงกราน คุณอาจพบว่าตนเองเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร หากคุณยังไม่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่สามารถมีบุตรได้อีกต่อไป หรือเรียกว่าเป็นหมัน ภาวะดังกล่าวอาจทำให้คุณรู้สึกแย่โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้หญิงที่ยังอายุน้อยและต้องการมีบุตร ก่อนเข้ารับการรักษา ผู้ดูแลโรคมะเร็งของคุณจะปรึกษาและอธิบายว่ามีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง และหารือเกี่ยวกับทางเลือกการรักษาและการสนับสนุนอื่น ๆ
การผ่าตัด
มีการผ่าตัด 4 ประเภทหลักที่ใช้ในการรักษามะเร็งช่องคลอด:
- การตัดช่องคลอดบางส่วน (Partial vaginectomy) - การผ่าตัดเพื่อกำจัดส่วนบนของช่องคลอดออก
- การตัดช่องคลอดแบบกว้าง (Radical vaginectomy) - การผ่าตัดเพื่อกำจัดช่องคลอดทั้งหมดและตัดต่อมน้ำเหลืองในกระดูกเชิงกรานทั้งหมดออก
- การตัดช่องคลอดแบบกว้างและการผ่าตัดตัดมดลูกแบบกว้าง (Radical vaginectomy and hysterectomy) - การกำจัดทั้งส่วนช่องคลอด มดลูก รังไข่ ท่อนำไข่ และต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานออกทั้งหมด
- การผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้าง (Pelvic Exenteration) - การผ่าตัดเพื่อกำจัดช่องคลอดและเนื้อเยื่อโดยรอบออกทั้งหมด รวมทั้งกระเพาะปัสสาวะและ / หรือลำไส้ตรง
การตัดช่องคลอดบางส่วน (Partial vaginectomy)
การตัดช่องคลอดบางส่วนสามารถใช้ในการรักษามะเร็งช่องคลอดระยะที่ 1 หากการรักษาด้วยรังสีรักษาล้มเหลวในการกำจัดเซลล์มะเร็ง หรือผู้ป่วยต้องการผ่าตัดมากกว่าการฉายรังสีเพราะยังต้องการมีบุตรและไม่อยากเสี่ยงต่อการเป็นหมัน
ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดส่วนช่องคลอดที่เป็นมะเร็งออกรวมทั้งเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดีโดยรอบออกไปบางส่วนในกรณีที่คาดว่ามีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งออกไปเพียงเล็กน้อย
ศัลยแพทย์ของคุณจะซ่อมแซมส่วนของผนังช่องคลอดที่เสียหายไปด้วย หมายความว่าคุณจะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อีกครั้งหลังจากที่คุณฟื้นตัวจากการผ่าตัดแล้ว
การตัดช่องคลอดแบบกว้าง (Radical vaginectomy)
การผ่าตัดตัดช่องคลอดแบบกว้างอาจใช้เพื่อรักษามะเร็งในช่องคลอดระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ศัลยแพทย์จะตัดเอาส่วนใหญ่หรือทั้งหมดของช่องคลอดของคุณออก
ศัลยแพทย์พลาสติกอาจสามารถสร้างช่องคลอดขึ้นใหม่โดยใช้ผิวหนัง กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนที่นำมาจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายของคุณ โดยปกติจะเป็นจากต้นขาหรือก้นของคุณ
คุณยังคงสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หลังจากการผ่าตัดเสริมสร้างฟื้นฟูช่องคลอดของคุณแล้ว แต่คุณจะต้องใช้สารหล่อลื่นเพราะเยื่อบุช่องคลอดใหม่นั้นไม่สามารถสร้างสารหล่อลื่นได้ตามธรรมชาติอีกต่อไป
การผ่าตัดตัดมดลูกแบบกว้าง (Radical Hysterectomy)
การผ่าตัดมดลูกแบบกว้างจะทำไปพร้อมกับการผ่าตัดช่องคลอดแบบกว้าง ระหว่างการผ่าตัด อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบการสืบพันธุ์ทั้งหมดจะถูกกำจัดออกรวมถึงมดลูก รังไข่ ท่อนำไข่และต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียง
การผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้าง (Pelvic Exenteration)
การผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้างใช้ในผู้ป่วยบางกรณีที่โรคมะเร็งลุกลามรุนแรงหรือกลับมาเป็นซ้ำ
หากคุณถูกกำจัดกระเพาะปัสสาวะออกไป คุณจะต้องสร้างช่องทางอื่นเพื่อขับปัสสาวะ ทางเลือกที่ศัลยแพทย์ของคุณจะทำคือสร้างรูเปิดบริเวณหน้าท้อง (stoma) จากนั้นจะใช้ถุงต่อติดกับ รูเปิดดังกล่าวเพื่อให้ปัสสาวะสามารถผ่านออกมาได้ ถุงที่ใช้มีชื่อว่าถุงปัสสาวะหน้าท้อง (Urostomy Bag)
ในทำนองเดียวกัน ลำไส้ตรงอาจถูกกำจัดออกไปด้วย ดังนั้น คุณจำเป็นต้องมีทางกำจัดอุจจาระออกไปเช่นเดียวกัน ศัลยแพทย์สามารถทำรูเปิดบริเวณหน้าท้องอีกรูหนึ่ง และติดกับถุงสำหรับเก็บอุจจาระหน้าท้อง (Colostomy bag)
การผ่าตัดสร้างช่องคลอด (Vaginal reconstruction) อาจสามารถทำได้หลังจากการผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้าง โดยอาจจะทำการสร้างทวารหนักของคุณใหม่และเชื่อมติดส่วนดังกล่าวไปกับส่วนที่เหลือของลำไส้ของคุณในกรณีดังกล่าว คุณจำเป็นต้องใช้ถุงสำหรับเก็บอุจจาระหน้าท้องเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เนื่องจากการผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้างเป็นวิธีการผ่าตัดใหญ่มาก และอาจใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นตัวจากการผ่าตัด
เคมีบำบัด
ยาเคมีบำบัดมักใช้ร่วมกับการฉายรังสีรักษาหรือเพื่อควบคุมอาการเมื่อไม่สามารถรักษาได้ เรียกว่า เคมีบำบัดแบบประคบประคอง โดยปกติจะได้รับโดยผ่านการฉีดเรียกว่าการได้รับเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำ
เช่นเดียวกับการฉายรังสีรักษา ยารักษามะเร็งที่มีฤทธิ์แรงดังกล่าวในเคมีบำบัดสามารถทำลายเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี และก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยเคมีบำบัดสำหรับโรคมะเร็งช่องคลอดที่อาจเกิดขึ้นได้แก่:
- อาการเมื่อยล้าหมดแรง
- อาการคลื่นไส้
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- อาการท้องร่วง
- ผมร่วง
การรับมือกับการรักษา
การรักษาโรคมะเร็งช่องคลอดอาจส่งผลกระทบทางอารมณ์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควรเนื่องจากผลกระทบของการรักษาโรคมะเร็งดังกล่าว
การผ่าตัดตัดช่องคลอดบางส่วนหรือตัดช่องคลอดทั้งหมดอาจเป็นอันตรายต่อผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนและหลังวัยหมดประจำเดือนได้เช่นกัน และผู้ป่วยบางคนจะรู้สึกเป็น "ผู้หญิง" น้อยกว่าที่เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสัมผัสถึงความสูญเสียและการเสียสมาธิหลังจากการรักษา ในสตรีบางรายอาจเกิดภาวะซึมเศร้า
คุณอาจพบว่าการพูดคุยกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ได้รับการรักษาแบบเดียวกันนั้นเป็นประโยชน์ แพทย์ประจำตัวของคุณหรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลของคุณอาจสามารถแนะนำกลุ่มสนับสนุนในท้องถิ่นที่เหมาะสมได้
หากคุณรู้สึกว่าตนเองเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าอยู่ ให้พูดคุยกับแพทย์ประจำตัวของคุณเกี่ยวกับการรักษาและการสนับสนุนที่มีอยู่