ภาพรวมของสิว
ผิวหนังเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยรูเล็กๆ ที่เรียกว่ารูขุมขน (Pores) ซึ่งอาจเกิดการอุดตันจนทำให้เกิดสิวอักเสบได้จาก
- น้ำมัน
- แบคทีเรีย
- เซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- สิ่งสกปรก
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Dermatology) กล่าวว่า สิว คือโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อมีอาการรุนแรง นอกจากนี้สิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้า จะส่งผลกระทบต่อการนับถือตนเอง ความภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) และอาจเป็นสาเหตุของการเกิดแผลเป็นบนใบหน้า จนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทุกข์ใจ
รักษาหลุมสิว ลดรอยสิว วันนี้ ที่คลินิกใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 74%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ปัจจุบันมีวิธีการรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพหลายวิธี ที่ช่วยลดจำนวนสิวที่เกิดขึ้น และลดโอกาสในการเกิดแผลเป็นจากสิว
อาการของสิว
สิวสามารถพบได้เกือบทุกที่ในร่างกาย แต่มักเกิดขึ้นบนใบหน้า หลัง คอ หน้าอก และไหล่
โดยทั่วไปจะสังเกตเห็นตุ่มสิวเป็นสีขาว หรือสีดำ โดยทั้งสิวหัวขาว (Whiteheads) และสิวหัวดำ (Blackheads) เรียกอีกอย่างได้ว่า สิวอุดตัน (Comedones)
- สิวหัวดำ คือสิวที่มีรูเปิดที่ผิวหนัง เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศทำให้ลักษณะภายนอกกลายเป็นสีดำ หรือเรียกว่า สิวอุดตันหัวเปิด
- สิวหัวขาว คือสิวที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนัง ลักษณะภายนอกเป็นสีขาว เรียกว่า สิวอุดตันหัวปิด
แม้ว่าสิวหัวขาวและสิวหัวดำจะเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นที่พบได้บ่อยในโรคสิว แต่ก็ยังมีสิวประเภทอื่นที่สามารถเกิดขึ้นได้ คือ สิวอักเสบ สิวชนิดนี้โอกาสทำให้เกิดแผลเป็นบนผิวหนังได้มากกว่า โดยสามารถแบ่งชนิดของสิวอักเสบได้ ดังนี้
- สิวชนิดตุ่มนูนแดง (Papules) มีลักษณะเป็นตุ่มนูน ขนาดเล็ก สีแดง เกิดจากการอักเสบ หรือการติดเชื้อที่บริเวณรูขุมขน
- สิวหัวหนอง (Pustules) มีลักษณะเป็นตุ่มสิวสีแดง ขนาดเล็ก แต่ที่บริเวณหัวสิวมีหนองสีขาวนูนขึ้นมา
- สิวอักเสบแดงเป็นก้อน (Nodules) มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง ขนาดใหญ่ เป็นไตแข็งอยู่ใต้ผิวหนัง และมีอาการเจ็บ
- สิวซีสต์ (Cysts) มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง ขนาดใหญ่ อยู่ใต้ผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บมาก และมีหนองอยู่ภายใน
สาเหตุของสิว
ในแต่ละรูของผิวหนัง จะมีรูเปิดเข้าสู่รูขุมขน (Follicle) ซึ่งเป็นที่อยู่ของขน (Hair) และต่อมไขมัน (Sebaceous gland) โดยต่อมไขมันจะทำหน้าที่หลั่งไขมัน (Oil หรือ Sebum) ซึ่งจะเดินทางผ่านขนขึ้นสู่รูเปิดบนผิวหนังของคุณ ไขมันที่สร้างขึ้นนี้ จะทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและช่วยไม่ให้ผิวแห้ง
สิวจะเกิดขึ้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างไขมัน ดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- มีการสร้างไขมันออกมามากเกินไป
- มีการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วในรูขุมขน
- มีแบคทีเรียเจริญเติบโตขึ้นในรูขุมขน
ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดตุ่มสิวขึ้น โดยสิวจะเกิดขึ้นเมื่อมีแบคทีเรียเจริญเติบโตในรูขุมขนที่อุดตัน ร่วมกับการที่น้ำมันไม่สามารถระบายออกสู่ภายนอกรูขุมขนได้
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นสิว
ในปัจจุบันพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดสิว มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นเมื่อโตเป็นวัยรุ่น หรือมีการตั้งครรภ์
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด หรือยาสเตียรอยด์บางชนิด
- การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลทรายขาวหรือคาร์โบไฮเดรตปริมาณสูงเป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมปัง มันฝรั่งทอด
- มีพ่อแม่เป็นสิวมาก่อน
ช่วงวัยรุ่นคือช่วงที่มีโอกาสเป็นสิวมากที่สุด เพราะในช่วงนี้ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก ที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันในรูขุมขน ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิว แต่สิวที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยรุ่นจะหายไปได้เอง หรือมีอาการดีขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
การวินิจฉัยโรคสิว
หากคุณมีอาการของสิว แพทย์จะยืนยันการวินิจฉัยโดยการตรวจสภาพผิวหนังของคุณ เพื่อระบุชนิดของสิวและความรุนแรงของโรค เพื่อช่วยเลือกการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
การรักษาสิว
การรักษาด้วยตนเอง
คุณสามารถใช้วิธีต่อไปนี้ในการดูแลตนเองที่บ้านเพื่อป้องกันการเกิดสิวและเพื่อรักษาสิว
- ทำความสะอาดผิวด้วยสบู่อ่อนทุกวัน เพื่อกำจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกบนผิว
- สระผมเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงไม่ให้แชมพูโดนใบหน้า
- ใช้เครื่องสำอางที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก (Water-Based) หรือมีฉลากระบุว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Noncomedogenic หรือ Non Pore-Clogging)
- ไม่บีบสิว หรือกดสิว ซึ่งเป็นการเพิ่มการแพร่กระจายของแบคทีเรียและน้ำมันส่วนเกิน
- ไม่สวมหมวก ไม่สวมผ้าพันศีรษะแน่น
- ไม่สัมผัสใบหน้าของตนเอง
การรักษาสิวด้วยการใช้ยา
หากการรักษาด้วยตนเองไม่ช่วยให้อาการของสิวดีขึ้น ก็อาจใช้ยาเพื่อช่วยในรักษา ซึ่งสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา โดยยาหลายชนิดมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยเปิดรูขุมขน และลดปริมาณน้ำมันบนผิวหนัง ได้แก่
- Benzoyl Peroxide เป็นยาที่มีทั้งรูปแบบครีมและรูปแบบเจล ซึ่งจะช่วยให้สิวที่เป็นอยู่แห้งและป้องกันการเกิดสิวใหม่ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวด้วย
- Sulfur (กำมะถัน) เป็นสารตามธรรมชาติมีกลิ่นเฉพาะตัว พบในโลชั่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว และแผ่นมาสก์บางยี่ห้อ
- Resorcinol เป็นสารที่ไม่เป็นที่นิยม ใช้สำหรับกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว
- Salicylic Acid พบได้ในสบู่และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสำหรับผู้ที่เป็นสิว โดยจะช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
แม้จะรักษาด้วยยาข้างต้นแล้ว แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น ในกรณีนี้คุณอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งแพทย์จะประเมินอาการของโรค จ่ายยาเพื่อรักษาสิวและป้องกันการเกิดแผลเป็น ได้แก่
- ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) ชนิดรับประทาน หรือชนิดทาบนผิวหนัง ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวและช่วยลดอาการอักเสบ โดยทั่วไปยาปฏิชีวนะจะใช้ในเวลาสั้นๆ ดังนั้นคุณจึงไม่มีความเสี่ยงต่อการดื้อยา และไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
- ยาทาบนผิวหนัง เช่น Retinoic Acid หรือ Benzoyl Peroxide ที่มีความเข้มข้นสูง ฤทธิ์ของยาจะช่วยลดการผลิตน้ำมันและช่วยให้รูขุมขนเปิดออก
- ยาคุมกำเนิด หรือ Spironolactone เพื่อควบคุมฮอร์โมนในร่างกายที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว โดยจะลดการผลิตน้ำมันลงในกรณีที่เป็นสิวจากฮอร์โมน
- ยา Isotretinoin เป็นยาในกลุ่มวิตามินเอ (Vitamin-A-Based Medication) ซึ่งใช้ในการรักษาสิวอักเสบแดงเป็นก้อน (Nodules) ที่มีอาการรุนแรง ยานี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ และควรใช้เฉพาะกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผลเท่านั้น
สำหรับการรักษาสิวที่มีความรุนแรง และการป้องกันการเกิดแผลเป็น แพทย์อาจแนะนำการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม โดยจะเกี่ยวข้องกับการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว การลดการผลิตน้ำมัน และการเปิดรูขุมขนลดการอุดตัน ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- การใช้แสงรักษาสิว (Photodynamic Therapy) : เป็นการใช้ยาร่วมกับการฉายแสงชนิดพิเศษหรือเลเซอร์ เพื่อลดการผลิตน้ำมันและลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย อาจมีเลเซอร์อื่นๆ ที่ใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการของสิวหรือรอยแผลเป็นได้
- การกรอหน้า (Dermabrasion) : เป็นกระบวนการเพื่อกำจัดผิวหนังชั้นบนสุดออก (ชั้นหนังกำพร้า) โดยการใช้แปรงลวดกรอลงบนผิวหนัง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว และยังมี Microdermabrasion ซึ่งเป็นการรักษาที่อ่อนโยนกว่าสำหรับช่วยเปิดรูขุมขนและช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) : เป็นกระบวนการลอกผิวหนังชั้นบนสุดออก (ชั้นหนังกำพร้า) ซึ่งจะทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น การลอกผิวออกยังช่วยเปิดรูขุมขนและช่วยให้แผลเป็นจากสิวในระดับรุนแรงน้อยดีขึ้นได้
ถ้าเป็นสิวซีสต์ขนาดใหญ่ แพทย์อาจแนะนำให้คุณฉีดยา Cortisone ที่เป็นยาสเตียรอยด์ชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของสิวและช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
แนวโน้มในอนาคตของผู้ที่เป็นสิว
โดยทั่วไปแล้วการรักษาสิวมักประสบความสำเร็จ โดยอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างชัดเจนใน 6 - 8 สัปดาห์หลังเริ่มการรักษา หากพบการกลับมาเป็นซ้ำของสิว (ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย) อาจต้องทำการรักษาเพิ่มเติม หรือใช้เวลาในการรักษานานขึ้น
การป้องกันการเกิดสิว
แม้ว่าการป้องกันการเกิดสิวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่เมื่อคุณรักษาสิวแล้ว คุณสามารถปฏิบัติตนด้วยขั้นตอนต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ ดังนี้
- ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากน้ำมัน (Oil-free cleanser)
- ใช้ครีมที่ช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินบนผิวหนัง ซึ่งมีขายทั่วไปตามร้านขายยา
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน
- ล้างเครื่องสำอาง และล้างหน้าให้สะอาดก่อนเข้านอน
- อาบน้ำหลังออกกำลังกายเสร็จ
- หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับแน่นเกินไป
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลทรายขาว
- ลดความเครียด และหาวิธีจัดการความเครียดให้กับตนเอง
ที่มาของข้อมูล
Darla Burke, What Causes Acne? (https://www.healthline.com/symptom/acne), May 25, 2018.