หากพูดถึงวิธีคุมกำเนิดที่ผู้หญิงนิยมใช้กันมากที่สุด ก็คงไม่พ้น ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบรับประทาน เนื่องจากราคาไม่แพง มีขั้นตอนการใช้งานที่ง่าย เพียงแค่รับประทานอย่างตรงเวลาเป็นประจำทุกวันเท่านั้น
แต่หลายคนก็ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่ โดยเฉพาะข้อสงสัยเกี่ยวกับยี่ห้อ ว่ายี่ห้อไหนดีที่สุด ปลอดภัย และได้ผลดีที่สุดสำหรับหญิงไทย ซึ่งบทความนี้มีคำตอบ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ชนิดของยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด (Oral contraceptive pill) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
- ชนิดฮอร์โมนเดี่ยว เป็นยาเม็ดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่มีความสำคัญต่อภาวะไข่ตก การตั้งครรภ์ และการมาของประจำเดือนเพียงอย่างเดียว
- ชนิดฮอร์โมนรวม ประกอบไปด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน โดยฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยยับยั้งการตกไข่ ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้นกว่าเดิม ส่งผลให้อสุจิเคลื่อนตัว และผ่านเข้าไปได้ยาก
นอกจากนี้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ตัวยังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง และส่งผลให้ตัวอ่อนเข้าไปฝังตัวได้ยากขึ้นด้วย
การเลือกใช้ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยวและฮอร์โมนรวม จะมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาคุมที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ เพราะฮอร์โมนดังกล่าวอาจไปทำให้เกิดความผิดปกติภายในมดลูก และเยื่อบุโพรงมดลูก
ซึ่งข้อดีของยาคุมกำเนิดชนิดนี้ คือ ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หรือปวดหัว แต่ผู้ใช้อาจพบกับภาวะประจำเดือนขาดทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ได้ - ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม เป็นยาคุมที่จะมีกลไกการออกฤทธิ์เลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนของร่างกายมากที่สุด แต่ปริมาณของฮอร์โมนทั้ง 2 ตัวที่อยู่ในยาคุมกำเนิดชนิดนี้อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ และสีของเม็ดยาอาจแตกต่างกัน แต่วิธีการรับประทานยาจะเหมือนกัน คือ รับประทาน 1 เม็ดทุกๆ วัน
โดยยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับผู้ใช้บ้าง เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว น้ำหนักตัวขึ้น ท้องอืด เจ็บคัดเต้านม และที่สำคัญ ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ในผู้ป่วยเกี่ยวกับลิ่มเลือดเด็ดขาด
ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
หากคุณรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ดอย่างสม่ำเสมอ และตรงเวลาตามฉลากการใช้ยา ยาคุมกำเนิดก็จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 99.7%
แต่หากคุณรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ ลืมรับประทานยาบ่อย หรือใช้ไม่ถูกต้องตามคำแนะนำ โอกาสที่คุณจะล้มเหลวในการป้องกันการตั้งครรภ์จะมีอยู่ประมาณ 9% แม้จะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีโอกาสที่คุณจะตั้งครรภ์ได้อยู่
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
แผงยาคุมแบบเม็ดส่วนมากจะแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ
- แผงยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด เป็นแผงยาคุมกำเนิดแบบที่ยาทั้ง 21 เม็ดจะเป็นตัวยาทั้งหมด ไม่มีตัวเม็ดยาที่เป็นเม็ดแป้งเฉยๆ รวมอยู่ด้วย
วิธีรับประทาน คือ ให้รับประทานทุกวัน ในเวลาเดียวกัน วันละ 1 เม็ดจนหมดแผง จากนั้นให้หยุดรับประทาน 7 วันแล้วค่อยเริ่มแผงใหม่อีกครั้ง และเมื่อหยุดรับประทานยาไปประมาณ 1-3 วัน ประจำเดือนจะเริ่มมาอีกครั้ง - แผงยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ด จะเป็นแผงยาคุมกำเนิดแบบที่จะมีเม็ดยาจำนวน 21 เม็ด และจะมีเม็ดส่วนที่ไม่มีตัวยา แต่เป็นเพียงเม็ดแป้งเท่านั้น จำนวน 7 เม็ด หรือที่เรียกว่า “เม็ดยาหลอก” ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อป้องกันการนับวันผิด และจะได้รับประทานยาติดต่อกันทุกวัน
วิธีรับประทาน คือ ให้รับประทานตัวเม็ดที่เป็นยาในเวลาเดียวกันทุกวัน วันละ 1 เม็ดจนหมด และต่อด้วยเม็ดยาหลอก เมื่อหมดแผง ให้รับประทานยาแผงใหม่ต่อเนื่องทันที โดยไม่ต้องเว้น 7 วัน
คำแนะนำในการใช้ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
นอกเหนือจากการรับประทานยาให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอแล้ว ยังมีคำแนะนำอื่นๆ เกี่ยวกับการใช้ยาคุมแบบเม็ดที่ควรรู้ ได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ถึงแม้ยาคุมกำเนิดจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ แต่จะไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นนอกจากรับประทานยาคุมกำเนิดแล้ว คุณควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย
- ควรจดบันทึกรอบประจำเดือนหลังรับประทานทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น
- ไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ในขณะที่ใช้ยาคุมกำเนิด จะเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมองอุดตัน
- หากพบความผิดปกติใดๆ คุณควรปรึกษาแพทย์ทันที และแจ้งแพทย์ว่า กำลังใช้คุมกำเนิดชนิดไหน รวมถึงรับประทานไปได้นานแค่ไหนแล้ว
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีสิวและฝ้าขึ้นตามใบหน้า
- เจ็บคัดเต้านม
- อารมณ์แปรปรวน
- อยากอาหารมากขึ้น
- ประจำเดือนมาน้อยลง
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
- ผู้ที่เคยเป็นโรค หรือมีความเสี่ยงเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น ภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ โรคลิ่มเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดหัวใจ
- ตับทำงานผิดปกติ
- เป็นโรคมะเร็ง หรือถูกสงสัยว่าเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม
- มีเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่สาเหตุ
- กำลังตั้งครรภ์
- สูบบุหรี่และอายุ 35 ปีขึ้นไป
- เป็นโรคความดันโลหิตสูง
คำแนะนำเมื่อลืมรับประทานยาคุมกำเนิด
- หากลืมประทานยาคุมแล้วนึกขึ้นได้ ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ และให้รับประทานเม็ดต่อไปตามวัน และเวลาปกติ
- หากลืมประทานยาคุมติดต่อกันมา 2 วันแล้ว และยังอยู่ในช่วงครึ่งแรกของแผง ให้รับประทานยาวันละ 2 เม็ดเป็นเวลา 2 วัน หลังจากให้รับประทานยา 1 เม็ดตามเวลาปกติที่รับประทาน
- หากลืมรับประทานยาติดต่อกันมากกว่า 3 วัน ให้เลิกใช้ยาแผงเดิม แล้วรอให้ประจำเดือนมาก่อน จากนั้นค่อยรับประทานยาแผงใหม่ ในระหว่างนี้ให้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย งดการมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 สัปดาห์
เปรียบเทียบยาคุมในประเทศไทย ซื้อยี่ห้อไหนดี
สำหรับยาคุมที่จะนำมาเปรียบเทียบต่อไปนี้ เป็นยาคุมรุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นรุ่นที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับไขมันและหลอดเลือดได้ดีด้วย ซึ่งได้แก่
- ยาสมิน (Yasmin) เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยรับประทานยาคุมมาก่อน สามารถช่วยลดอาการบวมน้ำ ลดปัญหาสิว และลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้
- จัสติมา (Justima) มีคุณสมบัติเหมือนกับยายาสมิน แต่จะราคาถูกกว่า
- โกวานา (Govana) มีปริมาณฮอร์โมนไม่มาก มีผลข้างเคียงน้อย ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ ไม่ทำให้ตัวบวมน้ำ และยังช่วยควบคุมการเกิดสิวได้
- ไดแอน (Diane-35) เป็นยาคุมที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เพราะมีคุณสมบัติทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้น และรักษาสิวได้ แต่อาจพบผลข้างเคียงอื่นๆ ได้มาก เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ยายี่ห้อนี้ได้รับความนิยมในหมู่สาวประเภทสองด้วย
- ไซเลส (Cilest) มีข้อดี คือ ช่วยลดผลข้างเคียงจากการรับฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ อีกทั้งยังช่วยรักษาสิวและผมมันได้ในระดับหนึ่ง แต่จะมีข้อเสีย คือ ตัวยาจะส่งผลกระทบต่อตับพอสมควร
- ออยเลส (Oilezz) มีคุณสมบัติช่วยรักษาสิวและลดฮอร์โมนเพศชายได้ แต่ผลข้างเคียงจะมีค่อนข้างเยอะ เพราะในตัวยามีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนค่อนข้างสูง
สำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรอยู่ หากต้องการใช้ยาคุมกำเนิดด้วย ก็สามารถเลือกใช้ยาชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียวได้ ซึ่งได้แก่ เดลิตอน (Dailyton) เอ็กซ์ลูตอน (Exuton) และซีราเซท (Cerazette) แต่ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรับประทานยาคุมกำเนิด
1. ยาคุมกำเนิดทำให้อ้วนจริงหรือไม่
คำตอบ: ไม่ใช่ แต่อาจทำให้ผู้ใช้เกิดอาการบวมน้ำได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของยา และร่างกายของผู้ใช้
2. หากรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน เมื่อในอนาคตเกิดการตั้งครรภ์ ทารกในท้องจะมีโอกาสแท้ง หรือพิการมากกว่าปกติจริงหรือไม่
ตอบ: ไม่จริง ยาคุมกำเนิดไม่ได้มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อการตั้งครรภ์ในอนาคต เว้นแต่คุณแม่จะรับประทานยาคุมกำเนิดในขณะที่ตั้งครรภ์เท่านั้น
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
3. แฟนเดินทางไปต่างประเทศ หรือไปต่างจังหวัด 1-2 เดือน ควรรับประทานยาคุมทันทีหรือไม่
ตอบ: ไม่ควรหยุด เพราะอาจทำให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อน และไม่สามารถกลับมาคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ทันเวลาได้ เพราะยาเม็ดแบบคุมกำเนิดจะมีประสิทธิภาพดีที่สุดก็ต่อเมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่องทุกวัน มิฉะนั้นโอกาสการตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้น
ยาคุมกำเนิดนั้น หากใช้อยากถูกวิธีจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99.7% แต่สิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักไว้ก็คือ ยาคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ จึงควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์
ดูแพ็กเกจตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android