สิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดได้บ่อย โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หลายคนอาจพยายามรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันสิว หรือใช้วิธีธรรมชาติรักษาแล้ว แต่ไม่ได้ผล การใช้ยาทารักษาสิวจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ควรจะเลือกใช้ตัวยาอะไร มีวิธีใช้แบบไหน มีสิ่งใดต้องระมัดระวังบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
จะเลือกครีมรักษาสิวให้ถูก ควรรู้จักชนิดของสิวเสียก่อน
ในการรักษาสิวโดยใช้ยานั้น มีรูปแบบการรักษาที่เป็นขั้นตอนตามชนิดและระดับความรุนแรนแรงของสิว สามารถจำแนกได้ดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- สิวชนิด Comedone เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยมีเส้นขนอุดตันอยู่ในรูขุมขนร่วมกับซีบัม (ซีบัม (Sebum) เป็นไขมันที่ผลิตโดยต่อมไขมันผิวหนัง (Sebaceous Gland) ทำหน้าป้องกันการระเหยของน้ำออกจากผิวหนัง และช่วยทำให้ขนและผิวหนังมีความลื่น แต่เมื่อมีการผลิตซีบัมที่มากเกินไป ก็ทำให้เกิดความผิดปกติบริเวณนั้นได้ เช่น เกิดสิว หรือเกิดซีสต์ไขมัน) และเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว การอุดตันสามารถพัฒนาจนทำให้เกิดเป็นตุ่มขนาดเล็ก
Comedone สามารถจำแนกได้ 2 ชนิดคือ- สิวหัวขาว (Whitehead) ลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก รูสิวยังไม่เปิด
- สิวหัวดำ (Blackhead) ลักษณะเป็นตุ่มนูน มีรูสิวเปิด สาเหตุที่สิวมีสีดำเนื่องจากซีบัมสัมผัสกับอากาศ ทางรูสิว ทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนสิวเปลี่ยนสี
- สิวชนิด Papule เป็นสิวขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร ที่พัฒนาจากสิวชนิด Comedone ที่เกิดการอักเสบ การอุดตันจากระยะ Comedone ทำให้ซีบัมที่ถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆ ถูกสะสมไว้ในรูขุมขนซึ่งเป็นอาหารของเชื้อ Propioni Acne (P. Acne) เชื้อจึงเกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น เมื่อทั้งซีบัม เซลล์ที่ตายแล้ว และเชื้อ P. Acne เหล่านี้มีจำนวนมากขึ้น ก็จะทำให้สิวเกิดการแตกกระจายไปยังเซลล์ข้างเคียง ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ผิวหนังที่เป็นสิวจะมีการแดง รู้สึกปวด เจ็บ
- สิวชนิด Pustule เป็นสิวที่มีการอักเสบรุนแรงกว่า Papule มีลักษณะเป็นผิวหนังอักเสบแดงล้อมรอบหัวหนองสีขาวเหลือง
- สิวชนิด Nodule เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.5 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งขนาดใหญ่ สามารถสัมผัสและเห็นได้ชัด มีความรุนแรงมากกว่า 3 ชนิดด้านบน สิว Nodule เกิดจากการแตกออกของสิวไปยังบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดการอักเสบและบวมเป็นตุ่ม สิวชนิดนี้มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้
หากเป็นสิว Nodule แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ยารับประทานในกลุ่มกรดของวิตามินเอในการรักษา ซึ่งจะมีผลค้างเคียงสูง และยาส่งผลต่อสตรีมีครรภ์
การจำแนกความรุนแรงของสิว
ปัจจุบันไม่ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่ชัดของระดับความรุนแรงของสิว แต่เมื่อพิจาณาจากลักษณะของสิวที่เกิดขึ้นอาจแบ่งตามความรุนแรงของคร่าวๆ ได้ดังนี้
- สิวไม่อักเสบ ได้แก่ สิวชนิด Comedone ทั้งแบบสิวหัวขาวและสิวหัวดำ
- สิวอักเสบระดับรุนแรงน้อย ได้แก่ สิวชนิด Comedone ที่มี Papule และ Pustule อยู่บ้าง
- สิวอักเสบระดับรุนแรงปานกลาง ได้แก่ สิวชนิด Comedone ที่เกิดขึ้นร่วมกับ Papule และ Pustule ซึ่งมีการอักเสบรุนแรง อาจพบสิวชนิด Nodule ได้บ้าง
- สิวอักเสบชนิดรุนแรง ได้แก่ การเกิดสิวอักเสบทั้งชนิด Comedone, Papule, Pustule และ Nodule จำนวนมาก มีการอักเสบที่รุนแรง และมีการทิ้งรอยแผลของสิว
ยาในรูปแบบยาทาสำหรับรักษาสิว
ยาในรูปแบบยาทารักษาสิว ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบเจลหรือครีมทาสิว ซึ่งมีจำหน่ายในประเทศไทย มีดังนี้
- ยาในกลุ่มเรตินอยด์
เช่น อะแดพาลีน 0.1 % (Adapalene หรือที่รู้จักในยี่ห้อ Differin) เตรตินอยน์ 0.025 -0.1 % (Tretinoin หรือที่รู้จักในยี่ห้อ Retin-A)
รูปแบบของยาที่มีวางจำหน่าย อะแดพาลีนมีวางจำหน่ายในรูปแบบเจลและแบบครีมรักษาสิว ความเข้มข้น 0.1% ส่วนเตรตินอยน์มีวางจำหน่ายในรูปแบบครีมรักษาสิว ความเข้มข้น 0.025-0.1 %
ยากลุ่มนี้เป็นยากลุ่มหลักที่ใช้ในการรักษาสิว ช่วยป้องกันการเกิดและลดจำนวนสิวอุดตัน อีกทั้งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ทำให้ยามีประสิทธิภาพดีกับทั้งสิวอักเสบและไม่อักเสบ เรตินอยด์ชนิดทาสามารถใช้เป็นยาเดี่ยวในการรักษาสิวชนิดไม่อักเสบ และแนะนำให้ใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะ (เช่น คลินดาไมซิน) ในการรักษาสิวชนิดอักเสบ
แม้ว่ายาแต่ละตัวในกลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพในการรักษาเท่าๆ กัน แต่จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยสามารถทนต่อผลข้างเคียงของอะแดพาลีนได้ดีกว่ายาตัวอื่นในกลุ่ม ซึ่งผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของยากลุ่มนี้ ได้แก่ ผิวหนังบริเวณที่ทายามีอาการแห้ง แดง ลอกออก อาจพบความรู้สึกเหมือนถูกมดกัดหลังทายาได้ ยาทำให้ผิวไวต่อแสง จึงแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกแดดเผาบริเวณที่ทายา ยากลุ่มนี้ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ เนื่องจากทำให้ทารกพิการได้ ส่วนยาเตรตินอยน์นั้นแนะนำให้ทาในช่วงเย็น เนื่องจากในยาบางสูตร ตัวยาสำคัญสามารถถูกทำลายได้ด้วยแสง - เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide หรือ BP)
ยี่ห้อที่นิยม เช่น Benzac AC
แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจรักษาสิว ลดรอยสิววันนี้ ที่คลินิกใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 78 บาท ลดสูงสุด 93%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
กดรูปแบบของยาที่มีวางจำหน่าย เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์มีวางจำหน่ายในรูปแบบเจล ในประเทศไทยมีวางจำหน่ายเฉพาะความเข้มข้น 2.5 และ 5 %
ยา BP มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ P. acne โดยเป็นสารอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกิดสิวอุดตัน นิยมใช้ BP เสริมกันกับยาปฏิชีวนะแบบทา เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการรักษาและลดการดื้อยาของเชื้อ นอกจากนี้ยังนิยมใช้ BP ร่วมกับยาในกลุ่มเรตินอยด์ในการรักษาสิวผสมระดับรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
ความเข้มข้นของ BP มีตั้งแต่ 2.5% ไปจนถึง 10 % การใช้ยาครั้งแรกแนะนำให้ใช้ที่ความแรง 2.5 % หรือ 5 % ก่อน เนื่องจากยาที่มีความแรงสูงมีแนวโน้มจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้มากกว่า
ควรระวังการเปื้อนของยาลงบนเสื้อผ้า เนื่องจาก BP สามารถฟอกสีของผ้าได้หากต้องได้ยา BP ร่วมกับเตรตินอยน์ ควรใช้ยาสองชนิดคนละเวลากัน เช่น ตัวหนึ่งทาตอนเช้า อีกตัวทาเวลาเย็น เนื่องจากเตรตินอยน์สามารถเกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์และถูกทำลายได้ด้วย BP
- ยาปฏิชีวนะในรูปแบบทา
เช่น คลินดาไมซิน (clindamycin) อิริโธรไมซิน (erythromycin)
รูปแบบของยาที่มีวางจำหน่าย คลินดาไมซินที่ใช้สำหรับรักษาสิวมีวางจำหน่ายในรูปแบบเจลและแบบยาน้ำสำหรับทา ความเข้มข้น 1 % ส่วนอิริโธรไมซินที่ใช้สำหรับรักษาสิวมีวางจำหน่ายในรูปแบบเจล ความเข้มข้น 4 %
ยาปฏิชีวนะในรูปแบบทานี้ ใช้สำหรับรักษาสิวอักเสบระดับรุนแรงน้อยถึงปานกลาง หรือใช้รักษาสิวผสม คลินดาไมซินนิยมใช้ในความแรง 1 % และอริโธรไมซินที่ความแรง 2 %
จากการศึกษาพบว่า คลินดาไมซินมีประสิทธิภาพการรักษาสูงกว่าอิริโธรไมซิน ด้วยเหตุผลเรื่องการดื้อยาของเชื้อ การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาเป็นยาเดี่ยวในการรักษาสิวมีโอกาสที่เชื้อจะเกิดการดื้อสูง จึงแนะนำให้ใช้ร่วมกับยาทาในกลุ่มเรตินอยด์หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์
ทั้งคลินดาไมซินและอิริโธรไมซินมีความปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์ อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มนี้ยังมีผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์อยู่บ้าง ได้แก่ ผิวหนังบริเวณที่ทายามีอาการแห้ง แดง ลอกออก ผิวมันแพ็กเกจที่คุณอาจสนใจหมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
กด - กรดอะเซลาอิก (Azelaic Acid)
มักรู้จักในยี่ห้อ Skinoren
รูปแบบของยาที่มีวางจำหน่าย กรดอะเซลาอิกที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมักเป็นรูปแบบครีมรักษาสิว ความเข้มข้น 20 %
กรดอะเซลาอิกเป็นกรดอินทรีย์ พบในข้าวสาลี ใช้ในการรักษาสิวอักเสบระดับรุนแรงน้อยถึงปานกลาง หรือใช้รักษาสิวผสม ซึ่งนอกจากใช้รักษาสิวแล้ว ยังสามารถใช้รักษาฝ้าได้ด้วย จัดเป็นยาที่พิจารณาให้ใช้ในสตรีมีครรภ์ เนื่องจากค่อนข้างมีความปลอดภัย
ผลข้างเคียงของยาที่สำคัญ ได้แก่ ทำให้สีของผิวหนังบริเวณที่ทาซีดกว่าปกติ (Hypopigmentation) การใช้ยาในผู้ที่มีสีผิวเข้มอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ทามีสีแตกต่างไปจากผิวหนังบริเวณอื่นได้ ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ รู้สึกแสบ คัน ระคายเคือง อาจรู้สึกเหมือนถูกมดกัดหลังทายา - กรดซาลิไซลิก (salicylic acid)
รูปแบบของยาที่มีวางจำหน่าย กรดซาลิไซลิกมีวางจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น เจล ครีม โลชัน ยาน้ำสำหรับทา ทั้งในรูปแบบยาเดี่ยวและเป็นสารผสมร่วมกับยารักษาชนิดอื่น ซึ่งนอกจากนี้แล้วยังเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เช่น ในคลีนเซอร์สำหรับทำความสะอาดผิวหน้า
กรดซาลิไซลิกมีคุณสมบัติลดการเกิดสิวอุดตัน มีฤทธิ์อ่อนกว่ายาทาในกลุ่มเรตินอยด์ ความเข้มข้นของกรดซาลิไซลิกที่ใช้รักษาสิวมีตั้งแต่ 0.5-2 % ผู้ใช้ส่วนมากมีแนวโน้มทนต่อผลข้างเคียงของของกรดซาลิไซลิกได้ดี มีความปลอดภัยสูง แต่ตัวยายังมีข้อจำกัดในเรื่องประสิทธิผลในการรักษาสิว เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่มีคุณภาพมากพอสนับสนุนประสิทธิผลในข้อบ่งใช้ดังกล่าว
ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ ได้แก่ ผิวหน้าแห้ง ระคายเคืองผิว
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาทารักษาสิวด้วยตนเอง
ตามแนวทางการรักษาสิวนั้น จะใช้วิธีการรักษาเป็นลำดับขั้นตามความรุนแรง ซึ่งแพทย์หรือเภสัชกรจะเป็นผู้ประเมินว่าควรเริ่มรักษาด้วยยาชนิดใดก่อน เบื้องต้นมักจะใช้เบนโซอิลเพอรอกไซด์ หรือยาเรตินอยด์ เป็นยาทางเลือกแรกในการรักษา ในกรณีผู้ป่วยต้องการที่จะซื้อครีมรักษาสิว หรือยาทาสำหรับรักษาสิวระดับความรุนแรงที่ไม่มากมาใช้เอง สามารถใช้ยาสองชนิดนี้เป็นยาทางเลือกแรกก่อนได้
แต่ในกรณีที่ใช้แล้วยังไม่หาย หรือมีความรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์ เนื่องจากอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะเข้าช่วย ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ไม่ควรหาซื้อมารับประทานเอง
ในกรณีเป็นสิวระดับรุนแรงก็เช่นกัน หากต้องการให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัย ควรเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากแพทย์อาจให้ใช้ยาไอโซเตรตินอยน์ (Isotretinoin) รูปแบบรับประทาน ซึ่งยานี้จัดเป็นยากลุ่มยาควบคุมพิเศษ การสั่งใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น ยาไอโซเตรตินอยน์นี้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง แต่ผลข้างเคียงของยาอันตรายอย่างมาก เช่น เป็นพิษต่อตับ สามารถทำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) ได้ ข้อควรระวังคือห้ามใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรอย่างเด็ดขาด เนื่องจากยาทำให้ทารกพิการได้ การใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานานมีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน เป็นต้น การใช้ยานี้เองอย่างต่อเนื่องอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตทีเดียว
ส่วนยาในกลุ่มกรดอะเซลาอิก และกรดซาลิไซลิก ไม่ได้เป็นยาทางเลือกหลักในการรักษา ผู้ที่เป็นสิวและต้องการรักษาสิวด้วยตนเองก่อนสามารถใช้ยานี้ในการรักษาได้ เนื่องจากยาไม่ได้มีอันตรายมากนัก ไม่ได้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบภายในของร่างกาย เว้นแต่อาการข้างเคียงเฉพาะบริเวณที่ทา และโดยส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้ยาสามารถทนต่ออาการข้างเคียงเหล่านี้ได้
เคลียร์ข้อสงสัย...ยาทาสเตียรอยด์ใช้รักษาสิวได้หรือไม่?
ยากลุ่มสเตียรอยด์มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบได้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้นำมารักษาสิว เนื่องจากสเตียรอยด์สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงตามมา และกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง เช่น การเกิดสิวสเตียรอยด์ (Steroid Acne) ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง (Rosacea) และพบว่ามีอาการใบหน้าติดการใช้สเตียรอยด์ (Topical Steroid Dependent Face (TSDF)) คือผิวหน้าจะแดง รู้สึกแสบร้อน เมื่อพยายามถอนการใช้สเตียรอยด์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทารูปแบบสเตียรอยด์ในการรักษาสิว