ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย น้ำหนักราว 2.5% ของน้ำหนักตัวแต่ละคน ตับมีตำแหน่งอยู่บริเวณชายโครงขวาใต้กระบังลม เป็นอวัยวะที่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก
หน้าที่ของตับ
- เปลี่ยนแปลงสารอาหารที่รับประทานเข้าไปให้กลายเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
- สร้างและรีไซเคิลโปรตีนกลับมาใช้ใหม่
- ช่วยให้เลือดแข็งตัว
- สร้างภูมิคุ้มกันโรค
- สร้างน้ำดี และช่วยย่อยอาหารในลำไส้
- กำจัดเชื้อโรค
- สลายสารพิษและสารเคมีต่างๆ ออกจากร่างกาย
โรคไวรัสตับอักเสบเอ
โรคไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) เป็นโรคตับอักเสบประเภทหนึ่ง มีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสอย่างฉับพลัน มักติดต่อผ่านทางอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
นอกจากไวรัสชนิดนี้แล้ว ยังมีไวรัสและสาเหตุอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) และโรคตับแข็ง (Liver Cirrhosis)
การแพร่กระจายของโรคไวรัสตับอักเสบเอ
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอมักพบในอุจจาระและเลือด จากนั้นจะเข้าสู่ร่างกายทางปาก ซึ่งเกิดได้โดย
- เมื่อผู้ที่ติดเชื้อสัมผัสสิ่งของ หรืออาหารหลังจากไปเข้าห้องน้ำ แล้วไม่ได้ล้างมือให้สะอาดเพียงพอ
- เมื่อมีผู้ที่ไม่ได้ล้างมือให้สะอาดเพียงพอหลังจากจัดการกับผ้าอ้อม หรือทำความสะอาดอุจจาระของผู้ที่ติดเชื้อ
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อทางปากและทางทวารหนัก ทั้งทางตรง หรือทางอ้อม
นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ได้จากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อ อาหารที่มักทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ ได้แก่ ผลไม้ ผัก หอย ข้าว และน้ำ
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการติดต่อแบบนี้พบได้น้อยในประเทศที่มีสุขอนามัยเหมาะสมและพัฒนาแล้ว เช่น มีการจัดการกับระบบน้ำด้วยการฆ่าเชื้อโรคในน้ำด้วยคลอรีน
นอกจากนี้เชื้อไวรัสตับอักเสบเอยังไม่ติดต่อผ่านการสัมผัสผู้ที่ติดเชื้อ เช่น การกอด การไอ หรือจาม รวมทั้งทารกจะไม่ได้รับเชื้อชนิดนี้ผ่านทางน้ำนมแม่ด้วย
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอ
- อาศัย หรือเดินทางไปยังประเทศกำลังพัฒนาซึ่งสามารถพบเชื้อไวรัสตัวอักเสบเอได้ทั่วไป
- อาศัยอยู่กับผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอ
- มีเพศสัมพันธ์ทางปากและทางทวารหนักกับผู้ที่ติดเชื้อ
- เป็นผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน
- มีการใช้ยาเสพติด
- เป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia) หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- ทำงานเกี่ยวกับการสาธารณสุข อาหาร หรืออยู่ใกล้สิ่งปฏิกูลต่างๆ
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบเอ
เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้ว จะยังไม่มีอาการแสดงออกมาให้เห็นโดยทันที เพราะเชื้อจะมีระยะการฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 2-7 สัปดาห์จึงจะมีอาการแสดงออกมา
ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 553 บาท ลดสูงสุด 59%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
กลุ่มผู้ป่วยที่จะต้องระวังให้มากคือ เด็กอายุน้อยกว่า 6 ขวบ เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้กว่า 70% จะไม่มีอาการแสดงออกมาว่า ตนเองติดเชื้อไวรัส กว่าจะรู้ตัวว่ามีอาการ ก็ป่วยระดับรุนแรงไปแล้ว
อาการที่เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อ มีตั้งแต่ไม่มีอาการใดๆ หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรง
สำหรับอาการแสดงที่เด่นๆ ของโรคไวรัสตับอักเสบเอในผู้ใหญ่นั้น มักจะเป็น "อาการดีซ่าน" (Jaundice) หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีผิวสีเหลืองและมีตาขาวสีเหลือง
อาการดังกล่าวจะพบในโรคไวรัสตับอักเสบเอในผู้ป่วยวัยเด็กโตและผู้ใหญ่
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ที่แสดงออกมาอีกแต่มักไม่รุนแรงมากนัก และจะมีระยะเวลาแสดงอาการอยู่ที่ 2 เดือน จากนั้นผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง แต่บางรายก็อาจมีอาการได้นานถึง 6 เดือน เช่น
- มีอาการไข้ต่ำๆ
- เหนื่อยล้า
- ความอยากอาหารลดลง
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ถ่ายเหลว
- ปวดท้อง
- มีอาการคันตามตัว
- ปัสสาวะสีเข้ม และมีอุจจาระสีซีด
- ปวดกล้ามเนื้อ หรือ ปวดข้อ
การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบเอ
ในขั้นตอนแรก แพทย์จะสอบถามประวัติอาการต่างๆ ที่ผ่านมา จากนั้นจะตรวจร่างกายผู้ป่วยเพื่อดูความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น มีตับโต มีอาการกดเจ็บที่ตับหรือไม่
ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 553 บาท ลดสูงสุด 59%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สุดท้ายแพทย์จะตรวจเลือดเพื่อนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติมต่อไป หากมีเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ผลเลือดต่อไปนี้จะมีค่าสูงขึ้น ได้แก่
- ระดับโปรตีนแอนติบอดี (Antibody) ที่จำเพาะต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ได้แก่ อิมมูโนโกลบูลินเอ็ม(Immunoglobulin M: IgM) และอิมมูโนโกลบูลินจี (Immunoglobulin G: IgG)
- เอนไซม์ในตับ เช่น เอนไซม์อะลานีน ทรานซามิเนส (Alanine Transaminase: ALT)
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไวรัสตับอักเสบเอ
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอจะไม่มีระยะการดำเนินโรคเรื้อรัง และไม่ก่อความผิดปกติต่อตับในระยะยาวด้วย แต่อย่างไรก็ตาม โรคนี้ยังอาจมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ เช่น
- กลับมาเป็นโรคซ้ำอีกครั้ง เกิดในผู้ป่วยบางราย เมื่อกลับมาติดเชื้ออีกครั้งก็จะมีอาการเจ็บป่วยแบบเดิมกับที่เคยเป็นมักเกิดในช่วง 2-3 เดือนหลังจากมีการติดเชื้อครั้งแรก
- ภาวะคั่งของน้ำดี (Cholestasis) หรือ การอักเสบของตับจากการคั่งของน้ำดี (Cholestatic Hepatitis) ภาวะนี้จะทำให้เกิดการคั่งของน้ำดีและทำให้เกิดอาการดีซ่าน มีอาการคันตามร่างกายอย่างรุนแรง
- ภาวะตับวายรุนแรง (Fulminant Hepatitis) เป็นอาการส่วนน้อยที่หากเกิดขึ้นจะอันตรายเป็นอย่างมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยที่มีอาการตับวายรุนแรงจะมีอาการดังต่อไปนี้
การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบเอ
โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอออกไปได้เองภายใน 5 เดือน และยังไม่มียา หรือการรักษาใดที่สามารถรักษาการติดเชื้อนี้ให้หายขาดได้
มีเพียงยาบางชนิดที่สามารถลดอาการของโรคได้ เช่น Ibuprofen (Advil) ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดท้องได้ แต่ไม่ควรใช้ยานี้มากเกินไป เพราะอาจทำให้ตับทำงานหนัก
นอกจากนี้ผู้ป่วยยังควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ยาที่อาจออกฤทธิ์ทำลายตับได้ เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) แอสไพริน (Aspirin)
หากผู้ป่วยมีอาการคันตามร่างกาย การรับประทานยาต้านฮิสทามีน (Anitihistamine) ก็อาจช่วยบรรเทาอาการได้ หรือหากผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน ยา Reglan (Metoclopramide) อาจช่วยบรรเทาอาการได้
แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะใช้ยาเพื่อความปลอดภัยและลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การดูแลตนเอง
นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีก็เป็นอีกทางในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบเอได้ เช่น
- การพักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารให้เหมาะสมครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้ผู้ป่วยเครียด เช่น อาจให้ผู้ป่วยหยุดงาน หรือถ้าเป็นผู้ป่วยเด็กก็ให้หยุดเรียนก่อน
- สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย เพื่อลดอาการคัน
- อยู่ในที่อากาศเย็นและถ่ายเท
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือแช่น้ำร้อน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน เพื่อลดอาการคลื่นไส้ที่อาจเกิดขึ้น
- รับประทานอาหารทีละน้อย แต่บ่อยๆ เพื่อลดอาการคลื่นไส้ และลดโอกาสที่ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน
- หากผู้ป่วยอาเจียน หรือท้องเสีย ให้ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งภาวะนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้
การป้องกันหลังจากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
หากผู้ป่วยไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมาก่อน แต่มีการสัมผัสเชื้อเกิดขึ้น การฉีดวัคซีนอาจมีประโยชน์และช่วยป้องกันการเกิดโรคหลังจากได้รับเชื้อได้
การฉีดวัคซีนจะสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้อย่างเต็มที่ หลังจากผู้ป่วยได้รับการฉีดวัคซีนภายใน 2 สัปดาห์หลังจากรับเชื้อ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ผู้ที่ได้รับเชื้อไปแล้วเท่านั้นที่ควรจะเข้ารับการฉีดวัคซีน แต่กลุ่มคนทั่วไปตั้งแต่อายุ 1-40 ปี ก็ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการเกิดโรคหลังได้รับเชื้อไวรัสด้วย
ทั้งนี้ปริมาณการฉีดวัคซีนจะแตกต่างกันไปตามอายุของผู้เข้ารับการฉีด ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ก็สามารถเข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกัน (Immunoglobulin) เพื่อป้องกันการติดเชื้อได้
การฉีดภูมิคุ้มกันนี้ ยังควรฉีดในผู้ที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอดังต่อไปนี้ด้วย
- เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ขวบ
- ผู้ที่แพ้วัคซีน หรือส่วนประกอบของวัคซีน
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
- ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบเอให้หายขาดได้ ดังนั้นวิธีการรักษาเพื่อให้อาการทุเลาลงและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดีที่สุดก็คือ "การฉีดวัคซีน"
วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบคือ
- วัคซีนฮัฟริกซ์ (HAVRIX) เป็นวัคซีนชนิดแรกที่เข้าสู่ตลาดเมื่อ ค.ศ. 1995 มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอได้ถึง 94%
- วัคซีนแวคทา (VAQTA) เข้าสู่ตลาดเมื่อ ค.ศ. 1996 มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ 100%
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังจัดให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นวัคซีนที่ปลอดภัยและสามารถป้องกันโรคได้สูงด้วย
ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
เด็กอายุ 1-2 ขวบ ควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเข็มแรก และจะฉีดเข็มที่ 2 หลังจากฉีดเข็มแรกไปแล้ว 6-12 เดือน แต่หากเด็กอายุเกิน 2 ขวบไปแล้วก็สามารถฉีดตามทีหลังได้
ส่วนผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอมาก่อนก็ควรเข้ารับการฉีดเพื่อป้องกันไว้ก่อน เนื่องจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอเป็นการติดต่อกันผ่านการปนเปื้อน จึงมีความเสี่ยงสูงที่เราอาจได้รับเชื้อโดยไม่รู้ตัวระหว่างใช้ชีวิตประจำวันอยู่
นอกจากกลุ่มคนทั่วไปที่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วยังมีกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งควรเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยทันที และไม่ควรปล่อยให้ตนเองไม่มีภูมิคุ้มกัน เช่น
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่มีอัตราการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบเอสูง
- ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบเอสูง
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันตนเองบกพร่อง
- ผู้ที่ใช้ยาเสพติด
- ผู้ป่วยโรคเลือดไหลไม่หยุด หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ป่วยโรคตับ หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ
- ผู้ที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจากการทำงาน เช่น จากการทำงานในห้องปฏิบัติการ อยู่ใกล้สิ่งปฏิกูลสกปรก หรือทำงานกับสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบและจำเป็นจะต้องเดินทางไปประเทศ หรือพื้นที่ที่มีอัตราการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบเอสูง หรือผู้ที่เลือกจะไม่รับการฉีดวัคซีน หรือมีอาการแพ้วัคซีน สามารถเข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกันแบบ 1 ครั้ง ได้ก่อนเดินทาง
ภูมิคุ้มกันประเภทนี้จะสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้นานถึง 3 เดือน
วัคซีนที่ป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและไวรัสตับอักเสบบี
หากใครที่กำลังมองหาวัคซีนที่ป้องกันทั้งไวรัสตับอักเสบเอและไวรัสตับอักเสบบี ยังมีวัคซีนอีกชนิดที่ชื่อว่า "ทวินริกซ์" (TWINRIX) ซึ่งเป็นวัคซีนรวมการป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอและไวรัสตับอักเสบบีอยู่ด้วยกัน
วัคซีนชนิดนี้เข้าสู่ตลาดเมื่อ ค.ศ. 2001 และมักจะให้วัคซีนจำนวน 3 ครั้งในช่วงเวลา 6 เดือน
ผลข้างเคียงของวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเออาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางอย่าง ระยะเวลาของการแสดงอาการจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 วัน ประกอบด้วย
- ปวดกล้ามเนื้อตรงบริเวณที่ฉีดยา
- ปวดศีรษะ
- เบื่ออาหาร
- อ่อนเพลีย
ผู้ป่วยบางรายก็อาจมีการแพ้วัคซีนรุนแรงได้ แต่เป็นกรณีที่พบได้น้อย
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอออกไปได้เองภายใน 5 เดือน และยังไม่มียา หรือการรักษาใดที่สามารถรักษาการติดเชื้อนี้ให้หายขาดได้
ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ นอกจากการรักษาสุขอนามัยให้ดีแล้ว รักษาสุขภาพให้แข็งแรงแล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอัสบเอก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย
ดูแพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีคือเป็นเรื่องของแฟนหนูเองเขาตรวจพบตอนที่หนูท้องลูกคนที่2ว่าสามีมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแล้วแบบนี้เชื้อตัวนี้ร้ายแรงไหมค่ะ และมีวิธีรักษาไหมค่ะ