“มือเท้าชา” มักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดวิตามินบี เนื่องจากวิตามินบีมีส่วนช่วยบำรุงปลายเส้นประสาทโดยเฉพาะ แต่บางครั้งอาการชาตามปลายมือปลายเท้าอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคเบาหวาน หรือภาวะขาดไทรอยด์ได้
เมื่อมีอาการมือเท้าชา จึงไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาด เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ ที่ไม่ใช่การขาดวิตามินบี
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุที่ทำให้มือเท้าชา
- นอนทับแขนตัวเอง หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดการกดทับเส้นเลือด เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และเกิดอาการชา
- ขาดวิตามินบี เพราะวิตามินบีช่วยบำรุง และซ่อมแซมระบบประสาทให้ทำงานได้ปกติ หากได้รับวิตามินบีน้อยเกินไป จะทำให้เส้นประสาทเกิดการอักเสบ และมีอาการมือเท้าชาได้
- ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง
- ได้รับสารเคมี หรือยาบางชนิด เช่น ได้รับยากันชัก พิษจากโลหะหนักบางชนิด
- อาการการถอนยา เช่น อาการถอนยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine)
- ภาวะเครียด หรือวิตกกังกวล
มือเท้าชาเกิดจากโรคอะไรได้บ้าง
โรคที่เป็นสาเหตุของอาการมือเท้าชามีหลายโรค ดังนี้
- โรครูมาตอยด์ และโรคเกาต์ เนื่องจากโรคนี้เกี่ยวข้องกับกรดยูริก และกระดูก จึงอาจทำให้เกิดอาการมือเท้าชาได้
- โรคเบาหวาน อาการมือเท้าชา เป็นอาการหนึ่งของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เริ่มมีอาการรุนแรง
- ภาวะขาดไทรอยด์ มีอาการตะคริวบ่อยๆ ปวดกล้ามเนื้อ และเหนื่อยง่าย ร่วมด้วย
- พิษสุราเรื้อรัง แอลกอฮอล์จะเข้าไปทำลายระบบต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน และสารอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการชา
- ภาวะติดเชื้อ ทำให้ภูมิคุ้มกันแย่ลง ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียวิตามินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะวิตามินบี ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการชาตามปลายมือปลายเท้า
- โรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือด โรคไต โรคอักเสบเรื้อรัง หรือวัยหมดประจำเดือน อาจเป็นสาเหตุของอาการมือเท้าชาได้เหมือนกัน
อย่างที่เห็นว่า นอกจากขาดวิตามินบีแล้ว อาการมือเท้าชาก็สามารถเกิดจากโรคใกล้ตัวได้หลายโรคเช่นกัน ดังนั้นหากเกิดอาการมือเท้าชาขึ้นบ่อยๆ อาจเป็นเพราะมีโรคแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้ ควรดูแลสุขภาพด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหาเวลาตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง
อาการมือเท้าชาแบบต่างๆ
อาการมือเท้าชามีหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีสาเหตุที่ต่างกัน ดังนี้
- ชาเฉพาะนิ้วโป้ง ชี้ กลาง และนิ้วนางครึ่งซีก เกิดจากเส้นประสาทมือถูกบีบรัด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอ หรือพังผืดเสื่อมสภาพ และหนาขึ้นจนไปกดทับเส้นประสาทมือ ส่งผลให้มีอาการชา
- ชานิ้วโป้ง ชี้ กลาง และมีอาการปวดมือ เกิดจากการเกร็งมืออยู่ท่าเดิมนานๆ ทำให้เส้นประสาทกดทับที่ฝ่ามือ
- ชานิ้วก้อย เกิดจากเส้นประสาทบริเวณรักแร้อักเสบ เนื่องจากงอ และเกร็งข้อศอกเป็นเวลานาน
- ชาปลายเท้าและปลายมือ เกิดจากปลายประสาทเสื่อม หรืออักเสบจากการขาดวิตามินบี หรือป่วยด้วยโรคบางโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคไต หรือการได้รับสารพิษ
- ชาปลายนิ้วมือเกือบทุกนิ้ว เกิดจากการใช้มือทำงานหนักมากเกินไป ทำให้เอ็นกดทับเส้นประสาทตรงข้อมือ มักมีอาการชาช่วงกลางคืน
- ชานิ้วก้อย นิ้วนาง และสันมือ เกิดจากเส้นประสาทบริเวณข้อศอกถูกกดทับ ทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงบริเวณแขนท่อนล่างได้ไม่สะดวก
- ชาง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณต้นแขน
- ชาทั้งแถบ เกิดจากกระดูกต้นคอกดทับเส้นประสาท หรือกระดูกต้นคอเสื่อม เป็นอาการที่อันตรายมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที
- ชาหลังเท้าไปถึงหน้าแข้ง เกิดจากการนั่งไขว่ห้างนานๆ หรือนั่งพับเพียบ ทำให้เส้นประสาทบริเวณใต้เข่าด้านนอกถูกกดทับ ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดติดขัดจนเกิดอาการชา
- ชาทั้งเท้าไปถึงสะโพก เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะอาจเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้
- ชาปลายเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้ว เกิดจากเส้นประสาทถูกทำลายเสียหายหลายเส้น ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่ดื่มแอกอฮอล์เป็นประจำ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปทำลายเส้นประสาท
วิธีรักษาอาการมือเท้าชา
วิธีรักษาอาการมือเท้าชาแบ่งออกตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้
1. การรักษาเมื่ออาการไม่รุนแรง
กรณีที่อาการมือเท้าชาไม่รุนแรง เช่น มีอาการชาแปล็บๆ ซ่าๆ เป็นระยะ สามารถรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนท่าทาง หรือสะบัดข้อมือสักพัก ก็จะช่วยให้อาการชาทุเลาลง และหายไปในที่สุด
แต่หากมีอาการชาแบบนี้บ่อยๆ อาจรักษาด้วยการรับประทานวิตามินบีเสริม และให้ยาต้านการอักเสบเส้นประสาท และเส้นเอ็น ซึ่งจะช่วยบำรุง และซ่อมแซมเส้นประสาทให้กลับมาทำงานได้ปกติ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
2. การรักษาเมื่ออาการรุนแรงและต่อเนื่อง
สำหรับผู้ที่มีอาการมือเท้าชาแบบบรุนแรง และต่อเนื่อง แม้จะสะบัดมือ หรือเปลี่ยนท่าทางแล้ว อาการชาก็ยังไม่ทุเลาลง การรักษาเริ่มแรก แพทย์จะให้ยาต้านการอักเสบเส้นประสาทก่อน และเฝ้าดูผลการรักษา
หากอาการยังไม่ดีขึ้นก็จะรักษาด้วยการผ่าตัด โดยจะผ่าตัดเอ็นที่กดรัดเส้นประสาทนั้นออก
3. การรักษาตามอาการ
หากอาการมือเท้าชา มีสาเหตุมาจากโรคร้ายบางโรค การรักษาจะต้องรักษาตามอาการที่เป็นอยู่ พร้อมกับรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุไปด้วย เพื่อบรรเทาอาการให้ค่อยๆ ทุเลาลง และไม่รุนแรงกว่าเดิม
นอกจากนี้ แพทย์อาจให้วิตามินเสริม โดยเฉพาะวิตามินบีที่จะช่วยบำรุงระบบประสาท และลดอาการชาตามมือตามเท้าได้ดี
การป้องกันมือเท้าชา
เนื่องจากอาการมือเท้าชาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ จึงต้องป้องกันจากต้นเหตุเหล่านั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งมีวิธีการป้องกัน ดังนี้
- รับประทานวิตามินบีอย่างเพียงพอ เพราะวิตามินบีมีส่วนช่วยในการทำงานของปลายประสาท ป้องกันการเกิดอาการมือเท้าชา
- อย่านอนทับแขน หรืออยู่ท่าเดิมนานๆ เพราะจะทำให้เส้นประสาทถูกกดทับ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกจนก่อให้เกิดอาการชาในที่สุด
- รับประทานผักผลไม้ที่มีประโยชน์ เพราะผักผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก นอกจากจะช่วยลดการเกิดอาการมือเท้าชาแล้ว ยังช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย
- ดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคที่เป็นสาเหตุโดยเฉพาะโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการมือเท้าชา เช่น โรคเบาหวาน โรครูมาตอยด์
อาการมือเท้าชาเกิดได้ทั้งจากสาเหตุที่ไม่เป็นอันตราย และอันตราย จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณอันตรายของโรคร้ายบางโรค หรือเป็นสัญญาณของภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ซึ่งอาจเสี่ยงต่ออาการอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android