วิตามินมีด้วยกันหลายชนิดหลายประเภท แต่ทุกประเภทล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการฟื้นฟูและบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในบทความนี้จะพามารู้จักกับวิตามินอีทั้งประโยชน์และแหล่งอาหารที่มีวิตามินอีปริมาณมาก เพื่อให้คุณสามารถเลือกกินได้อย่างเหมาะสม
วิตามินอีคืออะไร?
วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน โดยจะดูดซึมผ่านผนังลำไส้ ปัจจุบันวิตามินอีถูกนำมาใช้ประโยชน์มากมาย เช่น เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอาจใช้ในทางการแพทย์ได้อีกด้วย
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ประโยชน์ของวิตามินอี
วิตามินอีมีบทบาทอย่างมากต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คอยกำจัดสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นปัจจัยในการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงลดการอักเสบบริเวณต่างๆ ในร่างกายได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือดตามผนังของหลอดเลือด ป้องกันการอุดตันของลิ่มเลือด
หากขาดวิตามินอีอาจทำให้ระบบประสาทของร่างกายมีความบกพร่อง ความรู้สึกต่อสิ่งเร้าจะลดลง รวมถึงอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงด้วย
ต้องกินวิตามินอีวันละเท่าไร?
โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามิน E ประมาณ 11 มิลลิกรัม (หรือ 10.4 international unit) ต่อวัน ทำให้แต่ก่อนวิตามิน E เสริมจึงได้รับความนิยมมากโดยหวังว่าวิตามิน E จะสามารถป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง แต่ปัจจุบันไม่มีการงานการศึกษาที่สนับสนุนผลดังกล่าว
อาหารที่มีวิตามินอีสูง
อาหารสุขภาพ 10 ชนิดนี้ เป็นตัวอย่างอาหารสุขภาพที่มีวิตามิน E สูง มีดังนี้
-
อัลมอนด์ นอกจากอัลมอนด์จะเป็นแหล่งวิตามิน E สูงแล้ว ยังมีส่วนประกอบของวิตามิน B โพแทสเซียม ซิงค์ (zinc) แมกนีเซียม แคลเซียม และเหล็ก อีกด้วย โดยอัลมอนด์ 1 ออนซ์ (ประมาณ 23 เคอร์เนล) จะมีปริมาณวิตามิน E สูงถึง 7 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของปริมาณวิตามิน E ที่จำเป็นต่อวัน
-
บร็อกโคลี บร็อกโคลีเป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามิน A, K และ C, แคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมทั้งมีแคลอรี่ต่ำด้วย บร็อกโคลีเองก็เป็นแหล่งวิตามิน E สูงเช่นกัน โดยที่บร็อกโคลี่ 4 หัวจะมีวิตามิน E อยู่ 1 มิลลิกรัม
-
น้ำมันคาโนล่า น้ำมันคาโนล่าเป็นน้ำมันพืชที่เป็นแหล่งของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) กรดไขมันโอเมก้า-3 และวิตามิน E ซึ่งน้ำมันคาโนล่า 1 ช้อนโต๊ะจะให้วิตามิน E ประมาณ 2.5 มิลลิกรัม ดังนั้นน้ำมันชนิดนี้จึงเหมาะกับการนำมาใช้ประกอบอาหารและใส่เป็นน้ำสลัด
-
เฮเซลนัต เฮเซลนัตเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพมาก เนื่องจากมีแร่ธาตุเช่นแคลเซียมและเหล็กสูง อีกทั้งมีไฟเบอร์และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวด้วย โดยที่เฮเซลนัต 1 ออนซ์ (ประมาณ 21 เคอร์เนล) มีประมาณวิตามิน E ถึง 4 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าร้อยละ 25 ของปริมาณวิตามิน E ที่ควรได้รับต่อวัน
-
กีวี่ กีวี่เป็นผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง พร้อมทั้งมีแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมด้วย โดยกี่วี่เป็นแหล่งของไฟเบอร์และมีปริมาณแคลอรี่ต่ำมากเหมาะกับการทานเป็นอาหารว่าง
-
มะม่วง มะม่วงมีวิตามิน A และ C สูง และมี โพแทสเซียม และไฟเบอร์ด้วย โดยที่มะม่วง 1 ถ้วยมีวิตามิน 1.5 มิลลิกรัม ซึ่งเราสามารถนำมะม่วงมาหั่นใส่ในสลัดหรือจะนำมาปั่นเป็นสมูทตี้ก็ได้
-
เนยถั่ว เนยถั่วมีปริมาณ แมกนีเซียม ซิงค์ โปรตีน และไนอะซินสูง ซึ่งเนยถั่ว 2 ช้อนโต๊ะจะมีวิตามิน E ถึง 3 มิลลิกรัม โดยควรเลือกเนยถั่วจากธรรมชาติที่ไม่มีการเติมน้ำตาลเพิ่ม
-
ผักโขม ผักโขมเป็นสุดยอดของอาหาร เนื่องจากมีทั้งวิตามิน แร่ธาตุและไฟเบอร์สูง และยังมีปริมาณแคลอรี่ต่ำอีกด้วย ซึ่งผักโขมสุก 1 ถ้วย จะมีวิตามิน E ถึง 4 มิลลิกรัม
-
เมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งปริมาณแคลเซียมที่สูง เหล็ก โพแทสเซียมม ซิงค์ และโฟเลท อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวด้วย โดยเมล็ดทานตะวัน 1 ออนซ์ จะมีปริมาณวิตามิน E อยู่ถึง 7 มิลลิกรัม
- มะเขือเทศ มะเขือเทศมีสารอาหารมากมาย ทั้งวิตามิน C วิตามิน A ไฟเบอร์ และโพแทสเซียม แต่ยังคงมีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งมะเขือเทศหั่นจำนวน 1 ถ้วยจะมีวิตามิน E อยู่ 1 มิลลิกรัม โดยที่ทั้งซอสมะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศก็ยังมีปริมาณวิตามิน E ที่สูงเช่นเดียวกัน