กรดโฟลิค เป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี 9 ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตรนั้นจำเป็นต้องรับประทานกรดโฟลิคมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของทารก
นิยามของกรดโฟลิค
กรดโฟลิค (Folic acid) หรือมีอีกชื่อเรียกว่า "โฟเลต" หรือ "โฟลาซิน" หรือวิตามินบี 9 เป็นหนึ่งในตระกูลวิตามินบีที่ละลายในน้ำได้ คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อวิตามินบีซี (Bc) หรือวิตามินเอ็ม มีหน่วยวัดเป็นไมโครกรัม (มคก.)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
กรดโฟลิคนั้นจำเป็นต่อร่างกายมาก เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง กรดนิวคลิอิก (กรดไรโบนิวคลีอิก และกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก) ช่วยให้กระบวนการเผาผลาญโปรตีนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีความจำเป็นต่อการแบ่งตัวของเซลล์ กระบวนการใช้น้ำตาล และกรดอะมิโน
ปริมาณที่แนะนำต่อวันในการรับประทานกรดโฟลิค
- คนทั่วไป ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ 180-200 ไมโครกรัม
- หญิงตั้งครรภ์ ควรเพิ่มขนาดที่รับประทานต่อวันเป็น 2 เท่า คือ 360-400 ไมโครกรัม
- หญิงให้นมบุตร ควรรับประทาน 280 ไมโครกรัมในช่วงหกเดือนแรก และ 260 ไมโครกรัมในช่วง 6 เดือนหลัง
เหตุผลที่กรดโฟลิคจำเป็นต่อหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
กรดโฟลิคเป็นวิตามินที่มีส่วนในการสร้างตัวอ่อน แบ่งเซลล์ร่างกาย รวมถึงซ่อมแซมพันธุกรรม สร้างเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาวในไขกระดูกสันหลังของทารกในครรภ์
แต่เพราะในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์จะดูดซึมอาหารได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้หญิงตั้งครรภ์ต้องรับกรดโฟลิคมากกว่าปกติ เพื่อให้ตัวแม่ และทารกในครรภ์ได้รับวิตามินชนิดนี้เพียงพอ
นอกจากนี้ หากหญิงตั้งครรภ์รับประทานกรดโฟลิคในประมาณที่เหมาะสมตั้งแต่ช่วงระหว่างที่มีการปฏิสนธิ และช่วงแรกของการตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคท่อระบบประสาทผิดปกติ เช่น โรคความผิดปกติที่ส่วนโค้งของกระดูกสันหลังแต่กำเนิด (Spina Bifida) ของเด็กในครรภ์
ดังนั้นผู้หญิงที่กำลังวางแผนมีบุตร ควรรับประทานกรดโฟลิคเพิ่มเป็น 2 เท่าก่อนการตั้งครรภ์ 1-3 เดือน และหลังจากตั้งครรภ์ 3 เดือน ส่วนหญิงวัยเจริญพันธุ์ ควรรับประทานกรดโฟลิคประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์
10 ประโยชน์ของกรดโฟลิคที่ควรรู้
- ลดระดับกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีน (Homocysteine) ในเลือด และลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ
- ป้องกันการพิการแต่กำเนิดในทารก
- ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอด
- ช่วยป้องกันพยาธิในลำไส้ และอาหารเป็นพิษ
- ช่วยให้ผิวพรรณแลดูสุขภาพดี
- ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงได้ เมื่อรับประทานร่วมกับกรดแพนโทเทนิก (Pantothenic acid) และกรดพารา-อะมิโนเบนโซอิก (Para-aminobenzoic Acid: PAB) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พาบา (PABA)
- ช่วยให้เจริญอาหาร
- ช่วยป้องกันแผลร้อนใน
- ช่วยรักษาภาวะซีด หรือโลหิตจาง
เมื่อร่างกายขาดกรดโฟลิคจะทำให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
เมื่อร่างกายขาดกรดโฟลิคจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางแบบแมโครไซติก หรือแบบเม็ดเลือดแดงขนาดใหญ่ผิดปกติ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ส่วนในหญิงตั้งครรภ์ที่รับกรดโฟลิคไม่เพียงพอ มีความเสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะพิการทางสมอง หรือที่ระบบประสาทส่วนกลาง หรือกะโหลกปิดไม่สนิทได้ รวมถึงระบบไหลเวียนเลือดของเด็กจะทำงานไม่สมบูรณ์ สามารถลุกลามกลายเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเบาหวานได้
ศัตรูของกรดโฟลิค
คุณควรระมัดระวังสาร หรือปัจจัยที่ทำลายกรดโฟลิคได้ เช่น
- ยาในกลุ่มซัลฟา (Sulfonamides) เช่น ยากันชัก ยาต้านเชื้อไวรัส HIV ยากลุ่มเพนนิซิลิน
- แสงแดด
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน
- กระบวนการแปรรูปอาหาร โดยเฉพาะการต้ม
- ความร้อน
แหล่งอาหารที่พบกรดโฟลิค
ผักที่มีใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง อะโวคาโด แครอท ทอร์ทูลายีสต์ (ยีสต์สกัดชนิดหนึ่ง) ตับ ไข่แดง แคนตาลูป อาร์ติโชก แอปริคอต ฟักทอง ถั่ว แป้งไรย์ไม่ผ่านการขัดสี
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- โดยทั่วไปกรดโฟลิคจะมีจำหน่ายในขนาด 400 ไมโครกรัม และ 800 ไมโครกรัม
- บางครั้งในวิตามินบีรวมจะมีกรดโฟลิคอยู่ 400 ไมโครกรัม แต่ส่วนมากจะมีขนาด 100 ไมโครกรัม (สามารถดูได้ที่ฉลาก)
รับประทานกรดโฟลิคในปริมาณที่มากเกินไป อันตรายต่อร่างกายหรือไม่
ปัจจุบันยังไม่พบอันตรายจากการรับประทานกรดโฟลิคมากเกินไป เนื่องจากกรดโฟลิคเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ไม่เก็บสะสมในร่างกาย เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณมากเกินไปก็จะขับออกมาทางปัสสาวะนั่นเอง
แต่ในบางรายอาจพบผลข้างเคียงจากการรับประทานกรดโฟลิค เช่น อาการแพ้ (มีผดผื่น, หายใจลำบาก, ลิ้น ปาก ลำคอ หรือใบหน้าบวม) เวียนศีรษะ ไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ หรือมีภาวะซึมเศร้า หากอาการไม่ดีขึ้นจะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
หากคุณกำลังรับประทานยาต้านมะเร็งบางชนิด หรือยาเฟโนโทอิน (Phenytoin) การรับประทานกรดโฟลิคในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือทำให้เกิดอาการชักได้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนรับประทานวิตามิน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ข้อแนะนำในการรับประทานกรดโฟลิค
- ทุกๆ คนควรรับประทานกรดโฟลิค และวิตามินบี 6 ในปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน ขนาดที่แนะนำ คือ กรดโฟลิค 400 ไมโครกรัม และวิตามินบี 6 2-10 ไมโครกรัม จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายเฉียบพลันได้ถึง 42%
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำควรรับประทานกรดโฟลิคเพิ่มขึ้น
- การรับประทานวิตามินซีในปริมาณสูงจะเพิ่มการขับกรดโฟลิคออกจากร่างกาย ดังนั้นผู้ที่รับประทานวิตามินซีมากกว่า 2 กรัมต่อวัน ควรรับประทานกรดโฟลิคเพิ่มควบคู่ไปด้วย
- หากกำลังรับประทานยากันชัก ไดแลนติน (Dilantin) ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ฟีโนบาร์บิทอล (Phenobarbital) หรือแอสไพริน (Aspirin) แนะนำให้รับประทานกรดโฟลิคเพิ่ม
- การรับประทานกรดโฟลิค 1-5 มิลลิกรัมทุกวัน ในระยะเวลาหนึ่ง ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
- ผู้ที่กำลังป่วย หรือร่างกายกำลังต่อสู้กับโรคภัยอยู่ ควรรับประทานกรดโฟลิคเพิ่ม เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น
การรับประทานกรดโฟลิคจากแหล่งอาหารธรรมชาติย่อมมีประโยชน์กว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
เพราะจะได้รับวิตามิน หรือแร่ธาตุอื่นๆ เพิ่มด้วย แต่หากคุณจำเป็นต้องรับประทานกรดโฟลิคจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อน โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังป่วยเป็นโรค หรือกำลังรับประทานยารักษาอื่นๆ อยู่
เพราะกรดโฟลิคอาจส่งผลกระทบต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพื่อที่แพทย์จะได้จัดขนาดของวิตามินที่เหมาะสมให้กับคุณ
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android