สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด

เผยแพร่ครั้งแรก 6 ต.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด

อาการท้องอืดนั้นเกิดจากการที่มีอากาศหรือแก๊ซในระบบทางเดินอาหาร คนส่วนใหญ่ที่มีอาการท้องอืดนั้นมักจะรู้สึกแน่นท้อง หรือท้องบวมขึ้น และอาจมีอาการปวดได้ในบางคน อาการท้องอืดมักเกิดร่วมกัน

ท้องอืดอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงานและเข้าร่วมกิจกรรมในสังคมได้ งานวิจัยหนึ่งพบว่าผู้ที่มีอาการท้องอืดนั้นมีการใช้วันลาป่วย ไปพบแพทย์ และทานยามากกว่าคนอื่น และท้องอืดนั้นก็เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ทำไมคุณถึงรู้สึกท้องอืด

1.แก๊ซและอากาศ

แก๊ซนั้นเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดอาการท้องอืดโดยเฉพาะหลังจากกินอาหาร แก๊ซจะมีการสะสมในทางเดินอาหารจากการที่อาหารที่ไม่ย่อยนั้นถูกย่อย หรือเวลาที่เรากลืนอากาศเข้าไป ทุกคนมีการกลืนอากาศเข้าไปเวลาที่กินข้าวหรือดื่มน้ำ แต่บางคนอาจจะมีการกลืนอากาศมากกว่าปกติ โดยเฉพาะหากพวกเขา

  • กินหรืออิ่มเร็วเกินไป
  • เคี้ยวหมากฝรั่ง
  • สูบบุหรี่
  • ใส่ฟันปลอมที่หลวม
  • การเรอและการผายลมนั้นเป็น 2 วิธีที่อากาศที่ถูกกลืนเข้าไปนั้นจะออกจากร่างกายได้ การที่กระเพาะอาหารบีบไล่อาหารได้ช้ากว่าปกตินั้นก็จะทำให้เกิดการสะสมแก๊ซและท้องอืดได้เช่นกัน

2.สาเหตุทางการแพทย์

  • สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดท้องอืดอาจเกิดจากภาวะทางการแพทย์เช่น
  • โรคลำไส้แปรปรวน
  • โรคลำไส้อักเสบเช่น ulcerative colitis หรือ Crohn’s disease
  • โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารอื่นๆ
  • อาการแสบร้อนกลางหน้าออก
  • อาการแพ้อาหาร
  • น้ำหนักเพิ่ม
  • ฮอร์โมนแปรปรวน (โดยเฉพาะในผู้หญิง)
  • การติดเชื้อปรสิตในลำไส้
  • โรคเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเช่น anorexia nervosa หรือ bulimia nervosa
  • ปัจจัยทางจิตเวช เช่นความเครียด ความวิตกกังวล ความเศร้าและอื่นๆ
  • ยาบางชนิด

3.ภาวะต่อไปนี้สามารถทำให้เกิดแก๊ซและท้องอืดได้เช่น

  • การที่มีแบคทีเรียภายในทางเดินอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
  • มีการสะสมของแก๊ซ
  • มีการเปลี่ยนแปลงการบีบตัวของทางเดินอาหาร
  • แก๊ซไม่สามารถเคลื่อนที่ออกได้
  • การตอบสนองของระบบประสาทในช่องท้องืที่ผิดปกติ
  • มีความไวในช่องท้องมากกว่าปกติ (เช่นรู้สึกท้องอืดแม้ว่าร่างกายจะปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย)
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมอาหารและคาร์โบไฮเดรต
  • ท้องอืด

4.สาเหตุที่รุนแรง

อาการท้องอืดนั้นอาจจะเป็ฯอาการของภาวะที่รุนแรงได้ เช่น

  • การมีสารน้ำสะสมในช่องท้อง ที่เกิดจากโรคมะเร็ง (เช่นมะเร็งรังไข่) โรคตับ ไต่วาย หรือโรคหัวใจวาย
  • โรคเซลิแอคหรือการแพ้กลูเตน
  • ตับอ่อนผลิตเอนไซม์ได้ไม่เพียงพอซึ่งทำให้การย่อยอาหารทำได้ลดลง
  • ระบบทางเดินอาหารมีแผลทะลุซึ่งทำให้แก๊ซ แบคทีเรีย และสารอื่นๆ รั่วเข้าไปในช่องท้อง

การรักษาเพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการท้องอืด

1.การเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต

ในผู้ป่วยหลายรายสามารถบรรเทาหรือป้องกันการเกิดอาการท้องอืดได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตเช่นการลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกิน

2.คุณสามารถลดการกลืนอากาศได้ด้วยการ

  • หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง การเคี้ยวหมากฝรั่งจะทำให้คุณกลืนอากาศส่วนเกินเข้าไปซึ่งทำให้ท้องอืดได้
  • จำกัดการดื่มน้ำอัดลม
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ซ เช่นผักในตระกูลกะหล่ำปลี และถั่วตากแห้ง
  • กินอาหารให้ช้าและหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำด้วยหลอด
  • ใช้ผลิตภัณฑ์จากนมชนิดที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส (หากคุณไวต่อน้ำตาลแลคโตส)
  • การรับประทานจุลินทรีย์ probiotic นั้นอาจจะช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่ดีในทางเดินอาหารได้ ผลจากงานวิจัยนั้นยังไม่สามารถสรุปประสิทธิภาพของการรับประทานจุลินทรีย์เหล่านี้ได้แน่ชัด งานวิจัยหนึ่งพบว่าจุลินทรีย์มีประสิทธิภาพปานกลาง โดยผู้ใช้ประมาณ 70% รู้สึกว่าได้ผลในการบรรเทาอาการท้องอืด คุณสามารถพบจุลินทรีย์เหล่านี้ได้ในโยเกิร์ตแบบกรีก

3.การนวด

การนวดท้องนั้นอาจจะช่วยลดอาการท้องอืดได้ งานวิจัยหนึ่งทำการศึกษาผลของการนวดท้องในผู้ป่วยที่มีน้ำในท้อง วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วันและพบว่าการนวดนั้นจะช่วยทำให้อาการซึมเศร้า วิตกกังวล และความรู้สึกเกี่ยวกับอาการท้องอืดดีขึ้น

4.การใช้ยา

ควรปรึกษาแพทย์หากคุณลองเปลี่ยนการใช้ชีวิตและอาหารที่รับประทานแล้วยังคงมีอาการท้องอืด หากพบว่าเกิดจากสาเหตุทางการแพทย์ อาจจะต้องมีการใช้ยาในการรักษา การรักษานั้นอาจจะประกอบด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ การใช้ยาลดการบีบตัว หรือยาต้านเศร้าขึ้นกับภาวะของคุณ

เมื่อไหร่ที่ต้องไปพบแพทย์

คุณควรไปพบแพทย์หากมีอาการท้องอืดร่วมกันอาการต่อไปนี้

  • ท้องอืดรุนแรงหรือเรื้อรัง
  • อุจจาระมีเลือดปนหรืออุจจาระสีดำ
  • มีไข้สูง
  • ท้องเสีย
  • อาการแสบร้อนกลางหน้าอกรุนแรงขึ้น
  • อาเจียน
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
ผศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน, โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) (http://www.rcot.org/2016/People/Detail/14), 16.04.2009
ศ.พญ.ศศิประภา บุญญพิสิฎฐ์, ท้องอืด.... อาหารไม่ย่อย (ตอนที่ 1) (https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=690), 1/11/2553

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)