มีอาการปวดท้องน้อยจี๊ดเกิดจากอะไรค่ะ

อาการปวดท้องน้อยจี๊ดๆเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มักปวดอยู่บริเวณผิวหน้าท้องตื้นๆ เป็นหลังการยกของหนัก เอี้ยวตัวผิดท่า
- ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มักมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย
- นิ่วในทางเดินปัสสาวะ อาการปวดจี๊ดๆเป็นพักๆ อาจเสียวร้าวลงขา ปัสสาวะอาจมีเลือดปน
- ปีกมดลูกอักเสบ มักมีการมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ร่วมกับตกขาวที่ผิดปกติ
- ลำไส้อักเสบ มักมีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกปนเลือดร่วมด้วย
- ไส้ติ่งอักเสบ จะปวดท้องน้อยด้านขวา ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ร่วมกับอาจมีไข้ อาเจียน เบื่ออาหาร
และยังมีสาเหตุที่เป็นไปได้อีกหลายอย่างครับ

การจะวินิจฉัยให้ได้แน่ชัดต้องอาศัยการตรวจร่างกายจากแพทย์เพิ่มเติม รวมถึงอาจต้องมีการตรวจเลือด ปัสสาวะตามข้อบ่งชี้ครับ

จากอาการปวดท้องน้อยจี๊ดๆเพียงอย่างเดียวคงบอกได้ยากครับว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
แนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมดูครับ

สวัสดีค่ะ อาการปวดท้องน้อยเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตามอวัยวะที่อยูบริเวณดังกล่าวหรืออวัยวะภายในช่องท้องค่ะ
- หากเป็นเพศหญิงที่ต้องนึกถึงคือ จากอวัยวะของระบบสืบพันธุ์ เช่น มดลูก รังไข่ ท่อนำไข่ เป็นต้นค่ะ อาจจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมเช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องสัมพันธ์กับการมีประจำเดือน เป็นต้น
- ระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น กระเพราะปัสสาวะอักเสบ นิ่ว ซึ่งมักจะมีความผิดปกติของปัสสาวะด้วยค่ะ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ขุ่น หรือเป็นสีที่ผิดปกติ เช่นสีน้ำล้างเนื้อ
- ระบบทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้อักเสบ อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วม ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว

การวินิจฉัยมีความจำเป็นต้องซักถามประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมหากมีความจำเป็นค่ะ ดังนั้นจำแนะนำให้คุณไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไปค่ะ

หากมีประวัติว่ามีเพศสัมพันธ์นำมาก่อน และหากเกิดขึ้นในวันที่มีไข่ตกถึงแม้ว่าจะใส่ถุงยางอนามัยก็อาจจะมีโอกาศตั้งครรภ์ได้ค่ะ ประกอบกับภาวะประจำเดือนไม่มา ดังนั้นหากกังวลสามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้หลังมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 3 สัปดาห์ค่ะ

โดยปกติหากมีประจำเดือนแบบสม่ำเสมอ คือ 28-32 วัน วันที่ไข่ตกจะอยู่ประมาณ วันที่ 14 ของรอบเดือนนั้นๆ ค่ะ หากมีไข่ตก และมีอสุจิและเกิดการปฏิสนธิ จนเกิดการแบ่งตัวของตัวอ่อน และไปฝังตัวอยู่ในโพรงมดลูกก็เกิดการตั้งครรภ์ค่ะ แต่ถ้ารอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอการนับวันไข่ตกก็เป็นไปได้ยากค่ะ

แปลว่ารอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอค่ะ ซึ่งพบได้ในคนอายุน้อยๆ หรือพึ่งเริ่มมีประจำเดือนค่ะ แต่หากประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอเลย ควรพบสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุค่ะ

ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยการใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ไม่มีการแตกรั่วของถุงยางอนามัย จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้เพียง 2% เท่านั้นครับ

ประจำเดือนที่มาช้าเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น
- ไข่ไม่ตกตามรอบ
- ระดับฮอร์โมนที่ไม่แน่นอน
ความเครียด
- โรคอ้วน
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม
เป็นต้น

อย่างไรก็ตามถ้าไม่แน่ใจควรลองตรวจการตั้งครรภ์ดูครับ

อาการเจ็บหน้าอกแปล๊บๆสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น
- กล้ามเนื้ออักเสบ
- กระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ
- กรดไหลย้อน
- ปอดอักเสบติดเชื้อ
การจะบอกสาเหตุให้ชัดเจนต้องอาศัยการสอบถามอาการเพิ่มเติมและตรวจร่างกายโดยแพทย์ร่วมด้วย ดังนั้นถ้าต้องการทราบว่าเป็นอะไรอย่างแน่ชัดควรไปพบแพทย์ครับ

ก่อนอื่นต้องแน่ใจก่อนนะครับว่าประจำเดือนที่มา 2 รอบใช่ประจำเดือนจริงๆหรือไม่
ประจำเดือนปกติลักษณะจะต้อง
- มาห่างกันแต่ละรอบ 21-35 วัน
- มานานครั้งละ 3-7 วัน
- ใช้ผ้าอนามัย 3-4 แผ่นต่อวัน
- สีเป็นเลือดเก่าๆ คล้ำๆ ไม่ใช่สีแดงสด

ถ้าหากลักษณะเลือดที่ออกดังกล่าว ไม่ใช่ลักษณะของประจำเดือน อาจจะต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุครับ
สาเหตุของเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่เป็นไปได้ เช่น
- ปากมดลูกอักเสบ
- เนื้องอกมดลูก
- มีความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูก
- มีความผิดปกติของฮอร์โมนหรือการตกไข่
และยังมีอีกหลายสาเหตุนอกเหนือจากนี้ครับ

ถ้าหากคิดว่าลักษณะเลือดไม่ใช่ประจำเดือนตามปกติควรไปพบแพทย์ครับ

ประจำเดือนสามารถมาแค่ 3 วันได้ครับ แต่ต้องดูลักษณะอื่นๆประกอบด้วยตามที่หมออธิบายไปแล้ว
หรือถ้าหากมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออยู่บ่อยๆ อาจมีสาเหตุมาจากการตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอ ระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ มีความผิดปกติของรังไข่/มดลูกได้ ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุครับ

ถ้าหากไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนก็จะไม่สามารถมีการตั้งครรภ์ได้ครับ

การมีเพศสัมพันธ์โดยการหลั่งนอกนั้นในช่วงที่มีการสอดใส่อาจมีอสุจิที่ปนอยู่ในน้ำหล่อลื่นของผู้ชายหลุดลอดเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ ทำให้มีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ 4-27% ครับ

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรหายาคุมฉุกเฉินมารับประทานให้เร็วที่สุดก่อน โดยให้รับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ก็จะช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ลงได้ 75-85% แต่ถ้าหากเลยช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วก็ยังอนุโลมให้รับประทานภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไปครับ

อาการปวดท้องจี๊ดๆนั้นไม่ใช่อาการที่จะบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ครับ และอาการปวดท้องในลักษณะนี้ก็อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลำไส้อักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ อุ้งเชิงกรานอักเสบ ฯลฯ ถ้าหากอาการปวดท้องรุนแรงมากหมอก็แนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อนเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมครับ

ส่วนเรื่องการตั้งครรภ์นั้นถ้าหากได้ตรวจการตั้งครรภ์อย่างถูกต้องแล้ว คือ ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ แต่ถ้าหากยังตรวจการตั้งครรภ์ได้ไม่ถูกต้อง หมอก็แนะนำให้ลองตรวจใหม่อีกครั้งในเวลาที่เหมาะสมครับ