ความหมายของภาวะเลือดออกเนื่องจากมดลูกทำงานผิดปกติ
ภาวะมีเลือดออกเนื่องจากมดลูกทำงานผิดปกติ (Dysfunctional Uterine Bleeding: DUB) เป็นภาวะที่มีเลือดออกจากเยื่อบุมดลูกผิดปกติ (Abnormal endometrial bleeding) หรือเกิดความผิดปกติของรอบเดือนโดยไม่พบความเปลี่ยนแปลงของมดลูก หรือระบบอื่นๆ ในร่างกาย เช่น
- เนื้องอก
- การบาดเจ็บ
- ความผิดปกติของเม็ดเลือด
- ผลกระทบจากการใช้ยาฮอร์โมน
สาเหตุของภาวะมีเลือดออกเนื่องจากมดลูกทำงานผิดปกติ
สาเหตุของภาวะเลือดออกนี้ขึ้นอยู่กับวัยของผู้ป่วย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ในวัยรุ่น มักเกิดจากทำงานของต่อมใต้สมอง และรังไข่ที่ไม่สมบรูณ์หรือไม่ประสานงานกัน จนมีผลทำให้เกิดความไม่สมดุลของอัตราส่วนระหว่างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
- ในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน มักเกิดจากเสื่อม และการล้มเหลวในการทำงานของรังไข่เพื่อผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน เนื่องจากไข่มีจำนวนลดลง และไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีปัจจัยอย่างอายุ ความเครียด และความผิดปกติของต่อมไร้ท่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นอกจากนี้ภาวะเลือดออกเนื่องจากมดลูกทำงานผิดปกติยังเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้จากโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด โรคตับ โรคไต โรคอ้วน อีกทั้งโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์บางชนิดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกได้ เช่น
- โรคมะเร็งมดลูก
- โรคมะเร็งเยื่อบุมดลูก
- ภาวะเยื่อบุมดลูกขึ้นผิดที่ในมดลูก หรือนอกมดลูก
- มีติ่งเนื้อเยื้อขึ้นที่เยื่อบุมดลูก
- การตั้งครรภ์
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
- เนื้องอกในรังไข่
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก
อาการของภาวะมีเลือดออกเนื่องจากมดลูกทำงานผิดปกติ
ผู้ที่มีภาวะนี้อาจพบว่า มีเลือดออกจากทางช่องคลอดมากกว่าปกติ อาจมีก้อนเลือดขนาดใหญ่ปนออกมาด้วย แต่กลุ่มที่ไม่มีการตกไข่จะไม่มีอาการที่แน่นอน อาจจะมีช่วงเวลาที่ประจำเดือนขาดหายไปช่วงระยะหนึ่ง แล้วกลับมามีเลือดออกผิดปกติ
ส่วนกลุ่มที่ไข่ตกจะมีเลือดออกมามาก เนื่องจากกลไกที่ทำให้เลือดหยุดมีความผิดปกติ และอาจมีอาการปวดประจำเดือนร่วมด้วย ส่วนกลุ่มที่มีความผิดปกติจากการทำงานของกลุ่มเนื้อเยื่อภายในรังไข่คอร์ปัส ลูเทียม (Corpus lutium) บกพร่องจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยในช่วงก่อน หรือหลังมีประจำเดือน
การวินิจฉัยภาวะมีเลือดออกเนื่องจากมดลูกทำงานผิดปกติ
แพทย์จะสอบถามอาการ และประวัติสุขภาพของคุณ โดยคุณอาจเข้าข่ายภาวะนี้หากมีประวัติประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ และประจำเดือนมามากกว่าปกติ รวมทั้งพบก้อนเลือดปนออกมากับประจำเดือน และมีอาการปวดประจำเดือน
จากนั้นอาจมีการวินิจฉัยเพิ่มเติม ด้วยวิธีต่อไปนี้
- ตรวจเลือด ได้แก่ ตรวจหาปริมาณเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC) ตรวจความเข้มของเลือด (Hct) ตรวจการแข็งตัวของเลือด (Coagulation profile) และตรวจระยะเวลาตั้งแต่เลือดเริ่มไหลจนหยุด (Bleeding time) เพื่อดูว่ามีภาวะเลือดจาง และการแข็งตัวของเลือดผิดปกติหรือไม่
- ตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ และระดับโปรเจสเตอร์โรน ว่า สูงกว่า 3 มิลลิกรัม/มิลลิลิตรหรือไม่ ซึ่งหากสูงเกินไปจะถือว่า ผิดปกติ
- ตรวจระดับฮอร์โมนเอชชีจี (Human Chorionic Gonadotropin: HCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากรก
- ตรวจอื่นๆ เช่น ตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Test: LFT) ตรวจปัสสาวะดูการติดเชื้อ ตรวจการตั้งครรภ์ ตรวจมะเร็งปากมดลูก และทำอัลตราซาวด์
หากผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 35-40 ปี อาจต้องขูดปากมดลูกเพื่อนำตัวอย่างชิ้นเนื้อออกมาตรวจ รวมทั้งตรวจภายในโพรงมดลูกด้วยการส่องกล้อง และการถ่ายภาพในโพรงมดลูกด้วยรังสี
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การรักษาภาวะมีเลือดออกเนื่องจากมดลูกทำงานผิดปกติ
สำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่มีการตกไข่ แพทย์อาจให้ใช้ฮอร์โมน Progestin-estrogen หรือยาคุมกำเนิดชนิดมีฮอร์โมนตามรอบในขนาดต่ำๆ หรือยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม ส่วนกลุ่มที่ยังมีไข่ตกจะให้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม หรือยายับยั้งการสังเคราะห์พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin)
หากมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติอาจต้องใช้ยา Desmopressin (Minirin) และหากมีเลือดออกมากอาจให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนขนาดสูงทางหลอดเลือดดำเพื่อหยุดเลือด รวมถึงฮอร์โมนโปรเจสติน และยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม
เมื่อเลือดออกน้อยลงแล้ว แพทย์อาจให้เอสโตรเจนชนิดรับประทาน หรือเอสตราไดออล (Estradiol) แล้วตามด้วยโปรเจสติน และยาคุมกำเนิดชนิดรวม
แต่หากให้ยาแล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจรักษาโดยการทำลายเยื่อบุมดลูกด้วยเลเซอร์ ใช้กล้องส่องแล้วจี้ออกด้วยไฟฟ้า หรือใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุ และการผ่าตัดมดลูกออก
การดูแลตัวเองหลังการรักษา
หลังผ่าตัดแพทย์มักจะให้บันทึกสัญญาณชีพ ลักษณะแผลผ่าตัด รวมทั้งกระตุ้นให้คนไข้หายใจลึกๆ และไออย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างนอนพักที่โรงพยาบาลจะมีการจัดให้นอนท่าศีรษะยกสูง ดูแลความสะอาดของร่างกาย ดูแลให้ได้สารน้ำ และยาทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
หากผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้แล้ว พยาบาลจะจัดให้รับประทานอาหารที่มีโปรตีน มีกากใย ธาตุเหล็กสูง และให้ดื่มน้ำให้อย่างเพียงพอวันละ 2,000 มิลลิลิตร เพื่อลดการสูญเสียเลือด รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับโรค และการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เมื่อแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว คุณควรดูแลสุขอนามัยของแผลตามคำแนะนำต่อไปนี้
- เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และดูแลผิวหนังบริเวณฝีเย็บให้สะอาดอยู่เสมอ โดยใช้สบู่ที่มีฤทธิ์อ่อนๆ ไม่ใช้สบู่หรือสารที่มีกลิ่นหอม หรือยาฆ่าเชื้อผสมทำความสะอาดผิวบริเวณฝีเย็บ หรือช่องคลอด
- รับประทานยาแก้ปวดเมื่อมีอาการ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- สังเกตลักษณะ สี ปริมาณเลือดจากช่องคลอด และของที่ถูกที่ขับออกมาทางช่องคลอด หากพบความผิดปกติควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียเลือดจากภาวะนี้ รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนี้ขึ้นกับร่างกาย ผู้หญิงทุกคนจึงต้องหมั่นไปตรวจสุขภาพกับแพทย์ รวมถึงเข้าตรวจภายในเพื่อตรวจหาความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
หลายคนอาจรู้สึกกลัวที่จะตรวจภายใน แต่การตรวจภายในเป็นการอีกหนึ่งชนิดของการตรวจร่างกายที่ผู้หญิงทุกคนจำเป็นต้องตรวจ และผลการตรวจทุกอย่างยังเป็นความลับ คนภายนอกไม่สามารถรู้ได้
ดังนั้นจึงอย่ากลัวที่จะตรวจภายใน และรีบปรึกษาแพทย์ หากพบว่า ตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจโรคมะเร็งสำหรับผู้หญิง จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
การฝั่งเข็มคุมกำเนิด เเล้วทำให้ประจำเดือนไม่มา จะส่งผลกับร่างกายเราทางด้านใดบ้างมากน้อย เพียงใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฝั่งเข็ม ควรเเก้ไขอย่างไร