August 02, 2019 16:28
ตอบโดย
พิมพกา ชวนะเวสน์ (สูตินรีแพทย์)
เริม ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ค่ะ
เริมเกิดจากเชื้อไวรัส หลังติดเชื้อครั้งแรก อาการจะรุนแรง เป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใสๆ เจ็บมาก แสบร้อน ถ้าเป็นด้านล่าง อาจมีปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย มีไข้ได้ อาการหลังติดเชื้อครั้งแรก จะมีอาการมากค่ะ จำเป็นต้องได้รับยา เพื่อบรรเทาอาการ
หลังจากหาย เชื้อไวรัสจะไปแอบอยู่ตามปลายประสาท เมื่อร่างกายอ่อนแอ เช่น เจ็บป่วย นอนดึก เชื้อไวรัสก็จะออกมา ทำให้เกิดอาการอีกได้ค่ะ
โดยอาการที่เกิดเป็นซ้ำ จากเชื้อไวรัสที่ออกมาจากปลายประสาท จะรุนแรงน้อยกว่า ตุ่มไม่เยอะมาก ไม่มีไข้ มักจะหายได้เอง การรับประทานยา ก็อาจจะช่วยลดระยะเวลาที่มีอาการเท่านั้น
เริม จึงเป็นโรคที่รักษาหายขาดได้ยากค่ะ ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่สุก สะอาด ครบ 5 หมู่ เมื่อร่างกายแข็งแรง แม้จะมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย แต่ก็ไม่แสดงอาการ ไม่ทำให้เราเจ็บป่วยค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
นิธิวัฒน์ ตั้งชมพู (นพ.)
สวัสดีครับ
แนะนำให้ตรวจเพื่อความมั่นใจครับ ว่าตุ่มน้ำ หรือตุ่มที่อวัยวะเพศนั้น เป็นเริมจริงหรือไม่ครับ
-กรณีไม่ทีเพผสสัมพันธ์ แต่เคยมีเพศสัมพันธิมาก่อน อาจเป็นเริมได้ เนื่องจากเริมไม่หายขาดครับ หากเครียด พักผ่อนน้อย อาจกลับมาเป็นได้ครับ
-โรคอื่นๆ เช่น การแพ้สัมผัส เช่น แพ้ผ้าอนามัย แพ้สารเคมี
-ตุ่มติดเชื้อที่ผิวหนังธรรมดา
เป็นต้นครับ
ดังนั้น เพื่อให้มั่ยใจจำเป็นต้องเห็นตุ่ม เพื่อรักษาตามสาเหตุที่เหมาะสมครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
ปวริศ ยืนยง (นพ.)
สวัสดีครับ สำหรับการเป็น เริม คือ การติดเชื้อไวรัส ชนิดหนึ่ง จะเป็นกลุ่มตุ่มน้ำใส ที่บริเวณต่างๆ เช่น ปากหรืออวัยวะเพศ มีอาการ ปวด แสบ ปวดร้อน
การรักษาคือ
1.กินยาชื่อ acyclovir
2.กินยาแก้ปวดแสบร้อน เช่น gabapentin
3.ดูแลความสะอาดให้ดี
4.งดการไปรักษาตามวิถีชาวบ้าน เช่น ไปหาหมอเป่า หมอพ่น ห้ามบดสมุนไพรใส่ เพราะจะทำให้แผลเกิดการติดเชื้อ เป็นต้นครับ
สำหรับการเป็นเริม การขาดการพักผ่อน ร่างกายอ่อนแอ ก็จะทำให้เกิดอาการได้ครับ หรือเคยติดมาก่อนแล้วในอดีต แต่เวลาร่างกายอ่อนแอลงจึงทำให้ตัวโรคกำเริบขึ้นมาได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
เริมเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HSV ซึ่งเมื่อเคยติดเชื้อมาครั้งหน้าแล้วเชื้อจะมีการหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทในร่างกาย และเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจากสาเหตุต่างๆ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องเชื้อก็จะกลับมาก่อให้เกิดโรคได้ครับ
ในกรณีที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์มานานแล้วจึงยังมีโอกาสเป็นเริมได้อยู่ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
คืออย่างนี้คะ โรคที่ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ คือข้อยกเว้นที่ประกันไม่คุ้มครอง
แต่บังอิญว่า ลค.เป็นเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งไม่ได้มีเพศสัมพันธ์แบบใด ๆ กับใครเลย
แต่ บ.ปฏิเสธการจ่ายเงินในการรักษา ดิฉันก็เลยสงสัยว่า ก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธืนิ แต่ทำไม บ.จึงปฏิเสธอ้างเหตุในข้อยกเวนนั้น
ดิฉันก็เลยต้องการหาข้อมูลในการพิสูจน์ว่า เริม ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
ปวริศ ยืนยง (นพ.)
สำหรับโรคเริม โดยส่วนมาก จะเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ มาก่อนครับ อาจจะเคยได้รับเชื้อในอดีต แต่ยังไม่แสดงอาการครับ และรอแสดงอาการภายหลังครับ เป็นต้นครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ก็แสดงว่า...หากเป็นเริมที่อวัยวะเพศแล้ว คือการติดเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่หากเกิดที่อื่น เช่น บริเวณเอว หรือคอ ก็เป็นการติดเชื้อปกติทั่วไป ใช่มั้ยคะ
ตอบโดย
ปวริศ ยืนยง (นพ.)
โดยส่วนมาก เริม จะเกิดที่ปาก และอวัยวะเพศ ครับ การเกิดตุ่มน้ำใส ในที่อื่นๆ อาจจะเป็นงูสวัดครับ อาจจะไม่ใช่เริมครับ
ใช่ครับ ถ้าเป็นตุ่มน้ำใสที่อวัยวเพศ โดยส่วนมาก จะเป็นเริมครับ และจากการอ่านตำราอ้างอิงส่วนใหญ่ และองกรณ์อนามัยโลก จะจัดว่า เริม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
ปวริศ ยืนยง (นพ.)
ใช่ครับ งูสวัด กับเริม จะเป็นคนละโรคครับ แต่จะมีความใกล้เคียงกันครับ คือจะมีตุ่มน้ำใสๆ ปวดแสบ ปวดร้อนเหมือนๆกันครับ
แต่จะต่างกันตรงที่ การที่เป็นงูสวัด มักเกิดจาก การที่ในอดีตเคยเป็น อีสุกอีใสครับ เวลารักษาหายแล้ว แต่เชื้อจะไม่หายนะครับแล้วเชื้อเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทครับ
แล้วเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ เชื้ออีสุกอีใสจะกลับมากำเริบครับ ในรูปแบบ ตุ่มน้ำใส ตามตัว และมีอาการปวดแสบ ปวดร้อนครับ ซึ่งการกระจายตัวของโรค จะเป็นตามทางเดินของเส้นประสาทครับ ที่เรียกว่า dermatome ครับ
ซึ่งงูสวัดไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
Shintai Thavonlun (นพ.)
เริมเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง อาการจะมีตุ่มน้ำ ถ้าแตกจะปวดแสบปวดร้อน เป็นแผลและตกสะเก็ดได้ เกิดได้ตำแหน่ง เช่น ริมฝีปาก อวัยวะเพศ อาจมีไข้ อ่อนเพลีย ได้
เริมสามารถเป็นซ้ำ โดยอาการมักจะน้อยกว่าครั้งแรก เช่น ตุ่มน้ำเล็กและจำนวนน้อยกว่า
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เริม เป็นซ้ำได้ เช่น
- ความเครียด/อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ
- การเจ็บป่วยจากโรคอื่น มีไข้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในเพศหญิงตอนมีประจำเดือน
- แสงแดดจัดๆ
- รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน หรือเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เป็นต้นครับ
ส่วนใหญ่ถ้าอาการเป็นซ้ำ มักไม่รุนแรง และหายเองได้ครับ
เบื้องต้น แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่กล่าวมาครับ
และคนใกล้ชิด ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล สารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย ของผู้ป่วย, ควรงดการทีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิทครับ
และแนะนำให้ไปพบแพทย์จะดีที่สุด เพื่อซักประวัติ และตรวจร่างกายอย่างละเอียด
บางครั้งถ้าเริ่มเป็นแล้วรีบไปพบแพทย์ หรือมีโรคเริมเป็นซ้ำบ่อยๆ อาจมีข้อบ่งชี้ในการกินยาลดจำนวนไวรัส เพื่อลดระยะเวลาการเป็นโรค/การเจ็บปวด ลดระยะเวลาการแพร่เชื้อ และลดโอกาสการเป็นซ้ำครับ
ไม่แนะนำให้ซื้อยากินเอง เพราะยาต้านไวรัสมีผลข้างเคียงต่อไต ได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
เริมที่เป็นที่อวัยวะเพศนั้น
เป็นไปได้มั้ยว่าอาจจะติดเชิ้อมากจากภายนอก จากการหมักหมมความสกปรกของอวัยวะเพศ การใส่ กกน.ที่ติดเชื้อ การใช้ห้องน้ำสาธารณะ
แล้วเริมที่ขึ้นที่ริมฝีปาก ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ด้วยไหมคะ
ตอบโดย
ปวริศ ยืนยง (นพ.)
สำหรับการเป็นเริมที่ริมฝีปากสามารถ ติดมาจากอวัยวะเพศได้ครับโดยการผ่านการทำ oral sex ครับ
หรือสามารถเกิดขึ้นเองได้ครับ
แต่โดยรวมแล้วเริม ถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
รบกวนสอบถามคะ กรณีเป็นแม่หม้าย ไม่มีเพศสัมพันธ์แบบใด ๆ เลยมากว่า 5 ปีแล้ว แต่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ หากเป็นลักษณะเช่นนี้ เริมที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เป็นไปได้มั้ยว่าเกิดจากภาวะเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพยงพอ และไม่ได้มีการออกกำลังกายแต่อย่างใด ทำให้ร่างกายอ่อนแอ หรือจำเป็นว่าหากเกิดเป็นเริมที่อวัยวะเพศแล้วจะต้องเกิดจากการติดเขื้อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น....สงสัยคะ รบกวนช่วยตอบปัญหาให้หน่อยนะค่ะ รบกวนติดต่อกลับด้วยคะ 0848414113
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)