ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) เกิดจากการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ นับเป็นภาวะติดเชื้อทางระบบปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI) ที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะกับผู้หญิง ภาวะนี้มักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงแต่สร้างความรำคาญเล็กน้อยเท่านั้น กรณีที่เป็นไม่รุนแรงมักจะดีขึ้นเองภายในเวลาไม่กี่วัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจประสบกับภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยกว่าคนทั่วไปและอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเป็นประจำ หรือระยะยาว อีกทั้งยังมีโอกาสที่ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะนำไปสู่ภาวะติดเชื้อที่ไตที่ร้ายแรงได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อะไรเป็นสาเหตุของภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบส่วนมากถูกคาดว่า มีสาเหตุเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ หรือแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังตามปกติเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะ (ท่อที่ใช้ลำเลียงปัสสาวะออกจากร่างกาย) แบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุด คือ อี.โคไล (E. coli)
ยังไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ท่อปัสสาวะแต่ก็อาจเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ การเช็ดก้นหลังจากอุจจาระโดยเฉพาะหากเช็ดจากหลังไปหน้า การสวมใส่ผ้าอนามัยแบบสอด หรือใส่สายสวนท่อปัสสาวะ หรือการใช้หมวกครอบปากมดลูก (Diaphragm) เพื่อการคุมกำเนิด
ผู้หญิงจะเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้บ่อยกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีทวารหนักใกล้กับท่อปัสสาวะมาก และท่อดังกล่าวก็มีขนาดสั้นกว่ามากทำให้แบคทีเรียสามารถขยับเข้าไปยังกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่านั่นเอง
สัญญาณและอาการของภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
อาการทั่วไปของภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ดังนี้
- เจ็บปวด แสบร้อน หรือเจ็บแปลบขณะปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อยและอย่างเร่งด่วนกว่าปกติ
- ปัสสาวะมีสีเข้ม ขุ่น หรือมีกลิ่นแรง
- เจ็บปวดใต้ท้องน้อย
- รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว
- คันตามร่างกาย
- คลื่นไส้ และเหน็ดเหนื่อย
- ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ใหญ่มักจะไม่มีไข้สูง หากมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป และมีอาการเจ็บหลัง หรือข้างลำตัวอาจเป็นสัญญาณของภาวะไตติดเชื้อแทน
สำหรับในเด็กแล้ว เป็นการยากที่จะสังเกตภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพราะอาการของเด็กเล็กจะมีความกำกวมมาก อีกทั้งเด็กยังไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกได้อย่างชัดเจน แต่อาการที่อาจปรากฏกับผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็ก มีดังนี้
- ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป อ่อนแรง ฉุนเฉียว ความอยากอาหารลดลง และอาเจียน
- เด็กที่ป่วยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจเกิดอาการคล้ายกับที่เกิดกับผู้ใหญ่ เช่น เจ็บปวดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ และเจ็บท้อง เป็นต้น แต่ค่อนข้างยาก
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
- เมื่อคุณมีอาการจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นครั้งแรก แล้วอาการไม่ดีขึ้นหลังผ่านไปไม่กี่วัน
- คุณประสบกับภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยครั้ง และมีอาการรุนแรง เช่น มีเลือดปนปัสสาวะออกมา
- คุณกำลังตั้งครรภ์และมีอาการของภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบร่วมด้วย
- คุณเป็นผู้ชายและมีอาการของภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ลูกของคุณมีอาการของภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แพทย์ผู้ดูแลจะสามารถวินิจฉัยภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้จากการสอบถามอาการ และอาจมีการทดสอบตัวอย่างปัสสาวะเพื่อหาเชื้อแบคทีเรียมายืนยันการวินิจฉัยอีกที
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
โดยปกติแล้ว ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบมักจะไม่เป็นภาวะร้ายแรง แต่อาการที่เกิดจะมีความคล้ายกับภาวะร้ายแรงอื่นๆ ดังนั้นคุณจึงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยให้ถูกต้องจะดีที่สุด ผู้หญิงที่เคยประสบกับภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาก่อนไม่จำเป็นต้องเข้าพบแพทย์เมื่อมีภาวะกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากกรณีที่เป็นไม่รุนแรงจะหายได้เองแม้จะไม่ได้รับการรักษา คุณสามารถปฏิบัติตามวิธีดูแลตนเองที่บ้านได้ง่ายๆ หรือสอบถามกับเภสัชกรแทนก็ได้
อะไรบ้างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ไม่สามารถถ่ายให้หมดกระเพาะปัสสาวะได้ภายในครั้งเดียว
หากคุณไม่สามารถปัสสาวะให้หมดกระเพาะปัสสาวะจะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ภายในกระเพาะตกค้างอยู่และทำให้เพิ่มจำนวนง่ายขึ้น ปัจจัยนี้อาจเกิดจากคุณมีระบบขับถ่ายอุดตัน เช่น เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากทารกดันตัวเข้าไปขวางกระเพาะปัสสาวะ ภาวะต่อมลูกหมากโต (สำหรับผู้ชาย) จนกดทับท่อปัสสาวะ เป็นต้น
- วัยหมดประจำเดือน
สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผ่านช่วงหมดประจำเดือนมาแล้ว ผนังเยื่อบุของท่อปัสสาวะอาจหดตัวลงจนทำให้ท่อบางลง เนื่องจากการขาดฮอร์โมนเอสโทรเจนซึ่งทำให้สมดุลแบคทีเรียในช่องคลอดเสียไปด้วยจนทำให้เชื้อแบคทีเรียอันตรายเพิ่มจำนวนขึ้น
ภาวะเช่นนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนไหวต่อการติดเชื้อมากขึ้นจนทำให้เชื้อแพร่จำนวนเข้าไปยังกระเพาะปัสสาวะได้
ความเสี่ยงต่อภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะมีมากขึ้นหากคุณเป็นเบาหวาน ระดับน้ำตาลในปัสสาวะที่สูงเกินไปทำให้ปัสสาวะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อชั้นยอด ดังนั้นจึงทำให้แบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะก่อให้เกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบง่ายขึ้นมาก
สาเหตุอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ความเสียหายจากการมีเพศสัมพันธ์
- ความระคายเคืองสารเคมี เช่น สบู่หอม หรือสบู่อาบน้ำ
- ความเสียหายจากการใช้สายสวน หรือการผ่าตัดที่กระเพาะปัสสาวะ
- การบำบัดด้วยรังสีที่บริเวณเชิงกราน หรือการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
- อวัยวะเพศของผู้หญิงอาจเกิดความเสียหายจากการตัดกรีดด้วยเหตุผลตามวัฒนธรรม ขนบประเพณี หรือเหตุผลทางสังคมอื่นๆ
- อีกทั้งภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบยังเชื่อมโยงกับการใช้ยาเคทามินด้วย
การป้องกันภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หากประสบกับภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยครั้ง คุณสามารถป้องกันการเกิดภาวะนี้ซ้ำซากได้ แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า วิธีป้องกันต่อไปนี้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหนก็ตาม ดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ไม่ใช้สบู่อาบน้ำผสมแป้งฝุ่น หรือสบู่น้ำหอมล้างบริเวณรอบอวัยวะเพศ ควรใช้สารทำความสะอาดร่างกายที่ไม่ใส่น้ำหอมแทน
- อาบน้ำฝักบัวแทนการอาบในอ่างเพื่อเลี่ยงไม่ให้อวัยวะเพศต้องกับสารเคมีนานเกินไป
- เข้าห้องน้ำทันทีที่รู้สึกปวดปัสสาวะและต้องถ่ายให้หมดกระเพาะปัสสาวะจริงๆ
- ดื่มน้ำให้มากๆ เพราะการดื่มน้ำมากๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียเพิ่มจำนวนในกระเพาะปัสสาวะ
- เช็ดทวารหนักให้สะอาดหมดจดหลังทำธุระเสร็จ โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
- ขับถ่ายให้หมดกระเพาะปัสสาวะทุกครั้งหลังมีเพศสัมพันธ์
- ใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่น เช่น ถุงยางอนามัย
- สวมกางเกงชั้นในที่ทอจากผ้าไหมแทนใยสังเคราะห์อย่างผ้าไนลอน และไม่สวมกางเกงที่คับจนเกินไป
มีรายงานว่า การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ แต่งานวิจัยส่วนมากกลับรายงานขัดกันว่า น้ำผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้ช่วยสร้างความแตกต่างอะไรมากมาย
การรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หากคุณไปพบแพทย์เนื่องจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คุณจะได้รับยาปฏิชีวนะมาใช้รักษาการติดเชื้อนี้ ยาดังกล่าวควรเริ่มออกฤทธิ์ภายในหนึ่ง หรือสองวัน
หากคุณเคยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาก่อนและไม่ได้เป็นรุนแรงมากขนาดที่ควรต้องไปพบแพทย์ คุณก็สามารถรักษาตนเองได้ที่บ้านโดยใช้วิธีรักษาต่อไปนี้ได้ด้วยตนเองจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น ได้แก่
- รับประทานยาพาราเซตตามอล หรือไอบูโพรเฟน
- ดื่มน้ำมากๆ
- ประคบขวดน้ำร้อน เหนือหน้าท้อง หรือระหว่างต้นขา
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์
ผู้ป่วยบางรายสามารถใช้ยาลดความเป็นกรดของปัสสาวะที่วางขายตามร้านขายยาได้ เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) หรือ โพแทสเซียมซิเตรต (Potassium citrate) แต่ก็ยังคงขาดหลักฐานว่า ยาเหล่านี้ได้ผลจริงหรือไม่
ยาปฏิชีวนะ
ในบางกรณีแพทย์จะจัดจ่ายยาปฏิชีวนะให้แก่คุณ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งยาเม็ด หรือแคปซูลที่ต้องรับประทาน 2 -4 ครั้งต่อวัน เป็นเวลานาน 3 วันต่อกัน โดยยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษา เช่น Trimethoprim/sulfamethoxazole Fosfomycin Nitrofurantoin Cephalexin และ Ceftriaxone
ปกติยาปฏิชีวนะควรจะเริ่มออกฤทธิ์ทันทีที่ใช้ยา คุณควรกลับไปพบแพทย์หากว่า อาการไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาไปแล้ว 1 - 2 วัน ผู้ป่วยส่วนมากจะไม่ประสบกับผลข้างเคียงจากยาปฏิชีวนะ แต่หากเกิดขึ้นก็มักจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ คันตามร่างกาย ผื่นขึ้น และท้องร่วงเท่านั้น
ถ้าคุณเป็นภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบซ้ำซาก แพทย์จะทำการจ่ายยาปฏิชีวนะสำรอง หรือยาปฏิชีวนะใช้ต่อเนื่อง ดังนี้
- ยาปฏิชีวนะสำรอง (stand-by antibiotic) เป็นยาที่สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยา เมื่อมีอาการจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบสามารถใช้ยานี้ได้โดยไม่ต้องไปพบแพทย์
- ยาปฏิชีวนะแบบใช้ต่อเนื่อง (Continuous antibiotic) จะเป็นยาที่ต้องใช้ต่อเนื่องนานหลายเดือนเพื่อป้องกันการเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบอีกครั้ง โดยอาจจ่ายยาเหล่านี้ให้เมื่อมีข้อบ่งใช้ดังนี้
หากมีอาการจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดขึ้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์: อาจได้รับยาปฏิชีวนะมารับประทานภายใน 2 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์
หากมีอาการจากภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบโดยไม่เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์: อาจได้รับยาปฏิชีวนะขนาดยาต่ำมาทดลองใช้ก่อนเป็นระยะเวลา 6 เดือน
แพทย์ผู้ดูแลยังสามารถแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ แม้ว่า จะยังไม่มีหลักฐานว่าวิธีเหล่านั้นใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใดก็ตาม
ที่มาของข้อมูล
Urinary tract infection (UTI) (https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/urinary-tract-infection/diagnosis-treatment/drc-20353453)
Urinary Tract Infections (https://www.ucsfhealth.org/conditions/urinary_tract_infections/)