กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
นพ.ธนู โกมลไสย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
นพ.ธนู โกมลไสย

ระบบทางเดินปัสสาวะ

เข้าใจการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบปัสสาวะมีอะไรบ้าง?
เผยแพร่ครั้งแรก 19 ม.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 9 เม.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
ระบบทางเดินปัสสาวะ

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ระบบทางเดินปัสสาวะมีหน้าที่สำคัญคือ ขับถ่ายของเสียและสารต่างๆ ที่เกินจากความต้องการออกไปจากร่างกาย เพื่อรักษาสมดุลของสารและกระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism) ของร่างกายให้เป็นปกติ เปรียบเสมือนกับโรงบำบัดน้ำเสียของร่างกาย
  • ความผิดปกติที่เกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะออกมาทีละน้อยแต่บ่อย บางครั้งถ่ายปัสสาวะไม่ออก ปวดบริเวณท่อปัสสาวะทั้งขณะถ่ายปัสสาวะและไม่ได้ถ่าย ลักษณะการถ่ายปัสสาวะผิดปกติไปจากเดิม สีน้ำปัสสาวะผิดปกติ อ่อนเพลีย
  • ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะที่พบบ่อย เช่น การอุดกั้นบริเวณทางเดินปัสสาวะ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ภาวะไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ มะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • การดูแลระบบทางเดินปัสสาวะไม่ให้เกิดความผิดปกติ เช่น ดื่มน้ำมากๆ วันละประมาณ 2-3 ลิตรทุกวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายมีการปัสสาวะ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ
  • โรคในระบบทางเดินปัสสาวะทำให้คุณภาพชีวิตลดลงได้ ควรให้ความใส่ใจ ดูแลสุขภาพ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่นี่)

ระบบทางเดินปัสสาวะมีหน้าที่สำคัญคือ ขับถ่ายของเสียและสารต่างๆ ที่เกินจากความต้องการออกไปจากร่างกาย เพื่อรักษาสมดุลของสารและกระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism) ของร่างกายให้เป็นปกติ เปรียบเหมือนกับโรงบำบัดน้ำเสียของร่างกาย

ระบบทางเดินปัสสาวะประกอบด้วยอวัยวะสำคัญดังนี้

  • ไต มีลักษณะเหมือนเม็ดถั่วแดง อยู่ 2 ข้างของเอว เป็นส่วนที่มีเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงใหญ่ ไตจะนำเลือดของร่างกายทั้งหมดมาคัดกรองเอาส่วนที่ต้องใช้เก็บไว้ และเอาส่วนเกิน หรือส่วนที่ไม่ใช้ออกจากร่างกาย 
  • ท่อไต 
  • กระเพาะปัสสาวะ สามารถเก็บน้ำปัสสาวะได้ประมาณ 1 ลิตร
  • ท่อปัสสาวะ เป็นทางผ่านของปัสสาวะที่จะถูกขับออกภายนอกร่างกาย

กระบวนการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ

  1. เลือดทั้งหมดจะไหลผ่านเข้าสู่ไต แล้วไปที่เนื้อไต ซึ่งประกอบด้วยหน่วยกรองเล็กๆ มากมาย เรียกว่า “เนฟรอน” (Nephron) 
  2. หน่วยกรองเนฟรอนจะทำหน้าที่แยกน้ำ เกลือแร่ และสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายกลับเข้าไปในร่างกายต่อไป ส่วนน้ำและสารที่เป็นของเสีย รวมถึงสารต่างๆ ที่เกินจากที่ร่างกายต้องการใช้ จะถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ 
  3. ปัสสาวะจากถูกรวบรวมเข้าสู่กรวยไตซึ่งอยู่ในเนื้อไตเช่นกัน ลักษณะของกรวยไตจะเป็นสามเหลี่ยม ภายในประกอบด้วยหน่วยกรองเนฟรอนข้างละประมาณ 1 ล้านหน่วย
  4. น้ำปัสสาวะที่ผ่านจากหน่วยกรองเนฟรอนมาที่กรวยไตนี้จะไหลลงสู่ท่อไตที่อยู่ 2 ข้างของเอว แล้วไปเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องน้อย
  5. เมื่อน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะเต็มแล้ว กระเพาะปัสสาวะก็จะกระตุ้นให้เราถ่ายปัสสาวะออกมา โดยผ่านทางท่อปัสสาวะออกสู่ภายนอกร่างกาย

ความแตกต่างของระบบทางเดินปัสสาวะระหว่างผู้หญิง และผู้ชาย 

ระบบทางเดินปัสสาวะของผู้หญิงและผู้ชายมีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 จุด คือ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  1. บริเวณรอยต่อของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะของผู้ชาย จะมีต่อมลูกหมากโอบรอบท่อปัสสาวะ ในขณะที่ระบบทางเดินปัสสาวะของผู้หญิงจะไม่มีต่อมนี้ ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่สร้างน้ำเลี้ยงอสุจิและเป็นที่พักของอสุจิ
  2. ท่อปัสสาวะของผู้ชายจะมีความยาวมากกว่าท่อปัสสาวะของผู้หญิง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายอั้นปัสสาวะได้นานกว่าผู้หญิง และมีโอกาสเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบติดเชื้อน้อยกว่าผู้หญิงด้วย

ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ

ความผิดปกติที่เกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะส่วนใหญ่มาจากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ เกิดการอุดตันและการติดเชื้อ 

สาเหตุทั้ง 2 ประการนี้จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะ

อาการของความผิดปกติเป็นอย่างไร

ความผิดปกติที่เกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะ มักทำให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะที่เรียกว่า “ขัดเบา” เช่น 

  • ถ่ายปัสสาวะลำบาก 
  • ปัสสาวะออกมาทีละน้อยแต่บ่อย 
  • บางครั้งถ่ายปัสสาวะไม่ออก 
  • ปวดบริเวณท่อปัสสาวะทั้งขณะถ่ายปัสสาวะ และปวดแม้ขณะไม่ได้ถ่ายปัสสาวะ 
  • ลักษณะการถ่ายปัสสาวะผิดปกติไปจากเดิม เช่น ในผู้ชายจะปัสสาวะออกมาเป็นหยด ลำปัสสาวะไม่พุ่ง ส่วนในผู้หญิง ปัสสาวะจะออกเป็นหยดทีละนิด ปริมาณปัสสาวะอาจมากหรือน้อยผิดปกติ 
  • มีความผิดปกติของน้ำปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขุ่นขาวมีสีคล้ายน้ำนมที่เจือจาง 
  • มีความรู้สึกอ่อนเพลีย
  • ปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการปวดหลังและมีไข้ตามมา อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่บริเวณไต 

ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะเกิดจากอะไร

ของความผิดปกติที่เกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะ มีได้หลายประการ ที่พบบ่อยได้แก่

1. การอุดกั้นบริเวณทางเดินปัสสาวะ

ความผิดปกตินี้เกิดจากมีสิ่งกีดขวางการไหลของปัสสาวะ หรือน้ำปัสสาวะไหลออกสู่ภายนอกร่างกายไม่ได้ตามปกติ กรณีที่ทางเดินปัสสาวะถูกอุดกั้นเรื้อรังอย่างรุนแรง ปัสสาวะจะขังอยู่ในร่างกายนานแล้วนำไปสู่การติดเชื้อที่ไตในที่สุด 

ทำให้การทำงานของไตเริ่มผิดปกติและเกิดภาวะไตเสีย ไม่สามารถคัดกรองของเสียออกจากร่างกายได้ จนส่งผลทำให้มีของเสียจำนวนมากค้างอยู่ในเลือดและนำไปสู่การสูญเสียในที่สุด โรคที่พบบ่อยได้แก่

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • ต่อมลูกหมากโต เป็นต่อมที่โอบรอบท่อปัสสาวะบริเวณที่ต่อกับกระเพาะปัสสาวะในผู้ชาย ไม่มีในผู้หญิง ซึ่งผู้ชายเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป ต่อมนี้มักจะโตแล้วไปบีบท่อปัสสาวะให้แคบลงจนทำให้ปัสสาวะลำบาก มีอาการขัดเบา และทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงมีการติดเชื้อร่วมด้วยเสมอ
  • สาเหตุของโรคต่อมลูกหมากโต สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่า อาจมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน (Androgen) และฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) ในร่างกายของผู้ชาย
  • อาการ ระยะแรก ผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะไม่ค่อยออก ถ่ายลำบาก ต้องใช้แรงเบ่งนาน ลำปัสสาวะจะพุ่งอ่อนแรง หรือไม่พุ่งเลย ระยะต่อมาผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะบ่อยทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ปัสสาวะจะไหลออกมาเป็นหยดๆ และรู้สึกว่าถ่ายไม่หมด เมื่อปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน เชื้อโรคที่อยู่ในปัสสาวะจะทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการอักเสบและบวม จากนั้นท่อปัสสาวะจะเริ่มอุดตันมากขึ้น ท่อไตและไตเริ่มบวม นำไปสู่ภาวะไตวาย และเกิดของเสียคั่งอยู่ในร่างกายจนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
  • การรักษา ร้านยาอาจจ่ายยากลุ่มคลายการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ เพื่อบรรเทาอาการปวดของผู้ป่วยเป็นการเฉพาะหน้า แนะนำผู้ป่วยให้ไปพบแพทย์เพื่อการรักษาชั้นถัดไป นอกจากนั้นผู้ป่วยควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ควรทำงานหนัก หรือเดินทางไกลที่จะทำให้กระทบกระเทือนต่อมลูกหมาก ไม่ควรอั้นปัสสาวะ รวมทั้งดื่มน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 2–3 ลิตร และระวังไม่ให้ท้องผูก

2. นิ่วในทางเดินปัสสาวะ

นิ่ว เป็นก้อนของสารในร่างกายซึ่งมาจากการสะสมพอกพูนของสารบางอย่างในน้ำปัสสาวะ เช่น กรดยูริก (Uric acid) สารออกซาเลต (Oxalate) แคลเซียม 

สารเหล่านี้เมื่อไปอุดตันอยู่ตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะบริเวณกระเพาะปัสสาวะ เนื้อไต และท่อไต ทำให้เกิดการกีดขวางทางเดินของน้ำปัสสาวะ มักพบในผู้ชายมากกว่าในผู้หญิง

สาเหตุของการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ 

สาเหตุของการเกิดนิ่วยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดนิ่วได้ เช่น

  • มีการขับออกของเกลือหลายชนิดจากเลือดเข้าสู่น้ำปัสสาวะมากเกินไป เช่น แคลเซียม สารออกซาเลต ฟอสเฟต (Phosphate) และกรดยูริก
  • ดื่มน้ำน้อย ทำให้ปัสสาวะข้นจนมีการตกผลึกรวมกันของสารแคลเซียม สารออกซาเลตและเปลี่ยนจากน้ำเป็นก้อนนิ่ว
  • รับประทานอาหารประเภทผัก หรือผลไม้ที่มีสารออกซาเลตสูง เช่น ผักโขมน้อย ผักโขมใหญ่ ใบชะพลู ผักติ้ว ผักกระโดน ผักเม็ก เป็นประจำร่วมกับมีภาวะขาดโปรตีน ทำให้น้ำปัสสาวะเกิดการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดและด่างจนเกิดการตกผลึก และเกิดการรวมตัวกันของสารต่างๆ จนกลายเป็นก้อนนิ่ว
  • ขาดสารยับยั้งการจับตัวของผลึกของสารต่างๆ ในน้ำปัสสาวะ ซึ่งในคนปกติจะมีสารนี้อยู่
  • มีแกนในน้ำปัสสาวะ เช่น ลิ่มเลือด ตะกอนแคลเซียมจับตัวเป็นก้อนนิ่ว หรือการอักเสบของไตทำให้มีการรวมตัวของแบคทีเรีย จนเป็นแกนให้ผลึกเกาะรวมตัวเป็นก้อนนิ่วได้ 

อาการแสดงของผู้ที่เป็นนิ่ว

  • อาการปวด ถ้ามีนิ่วอุดตันที่ระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน เช่น ไต ท่อไต จะมีอาการปวดบริเวณบั้นเอว ปวดหลังและสีข้างที่มีการอุดตันของนิ่วเกิดขึ้น แต่ถ้านิ่วอุดตันอยู่บริเวณระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง เช่น กระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ จะทำให้มีอาการปวดร้าวมาถึงขาหนีบและหน้าขา และถ้านิ่วลงมาอุดตันที่ท่อปัสสาวะ อาการปวดอาจถึงร้าวไปถึงปลายท่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะเป็นเลือด ผู้ป่วยอาจปัสสาวะออกมาเป็นเลือด หากก้อนนิ่วครูดกับเยื่อบุบริเวณทางเดินปัสสาวะ จนทำให้เกิดแผลที่บริเวณเยื่อบุนั้นและมีเลือดออก กรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อแทรกซ้อนก็อาจทำให้ปัสสาวะขุ่นได้ด้วยเพราะมีหนองปนออกมาร่วมกับเม็ดเลือดขาว หรือขุ่นจากตะกอนของนิ่วขนาดเล็กๆ ที่ปะปนออกมา
  • มีไข้สูง เป็นอาการที่เกิดขึ้น เนื่องจากนิ่วทำให้มีการปิดกั้นทางเดินปัสสาวะจนเกิดการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย
  • คลื่นไส้ อาเจียน 2 อาการนี้มักเป็นอาการที่เกิดร่วมกับอาการปวดอย่างรุนแรง

การรักษาและคำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

  • กรณีที่สงสัยว่าเป็นนิ่ว คุณสามารถไปที่ร้านขายยาเพื่อขอให้เภสัชกรจ่ายยารักษาในเบื้องต้นก่อน ซึ่งอาจเป็นยาแก้ปวดกลุ่มคลายการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ เช่น ฟลาโวเซต (Flavoxate) 
  • ถ้ามีอาการที่แสดงว่า มีการติดเชื้อร่วมด้วย ก็อาจมีการจ่ายยาปฏิชีวนะเพิ่ม พร้อมกับแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำวันละ 2–3 ลิตร ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดเล็กอาจหลุดออกมาพร้อมกับน้ำปัสสาวะได้ 
  • ควรให้ผู้ป่วยงดอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น ผักต่างๆ ที่รับประทานทั้งยอดอ่อน หรือเนื้อสัตว์ปีกต่างๆ โดยเฉพาะปีกไก่ หรือหนังไก่ เครื่องในสัตว์ 
  • ถ้ารักษาเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเพิ่ม

คำแนะนำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

  • ดื่มน้ำมากๆ วันละประมาณ 2-3 ลิตรทุกวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายมีการปัสสาวะ ซึ่งเป็นการขับเอาของเสียต่างๆ ในเลือดออกมา นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดความเข้มข้นของเกลือในน้ำปัสสาวะให้เจือจางลงด้วย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ จะทำให้ก้อนนิ่วเคลื่อนและหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น
  • รับประทานอาหารแต่พอดีอิ่ม ไม่มาก หรือน้อยเกินไป 
  • ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด หรืออาหารที่มีไขมันและโปรตีนจากเนื้อสัตว์สูง หลีกเลี่ยงการรับประทานผักใบเขียวที่รับประทานทั้งยอด 
  • ถ้ามีนิ่วหลุดปนออกมากับน้ำปัสสาวะ ควรส่งให้แพทย์ตรวจวิเคราะห์

3. ภาวะไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ 

อาจเกิดจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคอ้วน การตั้งครรภ์ ผู้ป่วยสูงอายุ การออกกำลังกล้ามเนื้อโดยวธึที่เรียกว่า Kegel จะช่วยทำให้อาการดีขึ้น 

4. มะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ

ระบบทางเดินปัสสาวะเปรียบเหมือนกับโรงบำบัดน้ำเสียของร่างกาย หากทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ย่อมทำให้มีโอกาสเกิดของเสียคั่งค้างในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายส่วนอื่นๆ พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

ดังนั้นการตูแลรักษาระบบทางเดินปัสสาวะด้วยตนเอง เช่น การดื่มน้ำสะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การไม่กลั้นปัสสาวะ จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
The Urinary Tract & How It Works, National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK) (https://www.niddk.nih.gov/health-information/urologic-diseases/urinary-tract-how-it-works), 25 March 2020.
C. Dugdale David (16 September 2011). "Female urinary tract". MedLine Plus Medical Encyclopedia.
Anatomy of the Urinary System, Johns Hopkins Medicine (https://www.hopkinsmedicine.org/health/wellness-and-prevention/anatomy-of-the-urinary-system), 25 March 2020.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ระบบทางเดินปัสสาวะ

ระบบทางเดินปัสสาวะมีกระบวนการทำงานอย่างไร และสาเหตุความผิดปกติประกอบด้วยอะไรบ้าง

อ่านเพิ่ม