โรคเบาหวานคืออะไร?
โรคเบาหวาน คือ ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป เพราะเซลล์ร่างกายขาด หรือพร่องอินซูลิน หรืออินซูลินด้อยคุณภาพจึงไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ น้ำตาลที่มากเกินไปนี้จะถูกขับออกทางไต ส่วนเซลล์ที่ไม่สามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้ก็จะเสื่อมเร็ว และทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อน
อินซูลิน คือ ฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อนซึ่งเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ หากมีโรคของตับอ่อนจะส่งผลต่อการหลั่งอินซูลินได้
ตรวจเบาหวานวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 78 บาท ลดสูงสุด 83%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อาการของโรคเบาหวาน
เนื่องจากเซลล์ร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานขาดกลูโคสที่จะไปใช้เป็นพลังงาน จึงทำให้เหน็ดเหนื่อยง่าย และหิวบ่อย ส่วนกลูโคสในเลือดก็ต้องขับทิ้งไปทางไต ซึ่งออกมากับปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะบ่อยร่างกายก็ต้องการน้ำเข้าไปชดเชย ผู้ป่วยจึงมีอาการดังนี้
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เป็นนิจ
- ปัสสาวะบ่อย มีมดมาตอม
- หิวบ่อย
- กระหายน้ำบ่อย
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินจะมีอาการดังกล่าวรุนแรงและชัดเจนส่วนเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินจะมีอาการช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว ก็จะมีอาการเบื้องต้นเหล่านี้ร่วมกับอาการแทรกซ้อน
กลุ่มเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
- ทุกคน ทุกวัย ที่ทานอาหารตามใจปาก จะมีโอกาสเป็นเบาหวานมาก
- ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติด
- มีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องเป็นเบาหวาน
โรคเบาหวานมี 4 ประเภท คือ
- เบาหวานประเภทที่ 1 ต้องพึ่งอินซูลิน
- เบาหวานประเภทที่ 2 ไม่พึ่งอินซูลิน
- เบาหวานจากโรคของตับอ่อน หรือจากโรคทางต่อมไร้ท่อ
- เบาหวานที่เกิดกับคนตั้งครรภ์
เบาหวานประเภทที่ 1 ชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน
- เบาหวานชนิดนี้ พบได้ร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยเบาหวาน มักจะเกิดกับคนที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี ผู้ป่วยจะมีรูปร่างที่ผอมมาก
- มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินอย่างมาก หรืออย่างโดยสิ้นเชิง เนื่องจากตับอ่อนมีออโต้อิมมูนต่อเซลล์ที่สร้างอินซูลิน ทำให้ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้นมากเรื่อยๆ แต่เซลล์ขาดกลูโคส
- มีความสัมพันธ์กับพันธุกรรม โดยพบบ่อย'ในผู้ป่วยที่มีลักษณะเนื้อเยื่อชนิดดีอาร์สามและดีอาร์สี่
- ร่างกายต้องหาพลังงานจากการสลายโปรตีนและไขมัน ซึ่งได้ผลิตผลเป็นสารคีโตนที่เป็นกรดพิษต่อร่างกาย ทำให้เกิดภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโตน มีอาการหายใจหอบลึก คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ปวดท้อง และระดับความรู้สึกตัวจะค่อยๆ ลดลง อาการนั้นรุนแรงและฉับพลัน หากเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แล้วผู้ป่วยเองไม่รู้เท่าทันโรค อาจทำให้ผู้ป่วยถึงกับเสียชีวิตได้
- เกิดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานได้ง่าย
- รักษาด้วยการฉีดอินซูลินทุกวัน ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโตน
- เบาหวานประเภทที่ 2 ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
- เบาหวานชนิดนี้พบได้ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยเบาหวาน มักจะเกิดกับคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และมักจะอ้วนมาก่อน กลุ่มนี้ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี จะมีโอกาสเกิดภาวะคีโตนคั่งในเลือดได้เหมือนกัน แต่พบไม่บ่อย
- มีสาเหตุมาจากตับอ่อนเหนื่อยล้า ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือผลิตอินซูลินที่คุณภาพไม่ดีออกมา
- มักมีประวัติเบาหวานในครอบครัว
- รักษาด้วยยารับประทาน แต่เมื่อน้ำตาลขึ้นสูงมากจนยาเอาไม่ค่อยอยู่แล้ว จึงฉีดอินซูลินร่วมด้วย
- เกิดโรคแทรกซ้อนได้ยากกว่ากลุ่มแรก
เป้าหมายการรักษาโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานทั้งชนิดพึ่งอินซูลินและไม่พึ่งอินซูลิน จะมีเป้าหมายการควบคุมรักษาโรคให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยใกล้เคียงกัน ทำได้ก็จะลดการเกิดโรคแทรกซ้อนได้
เป้าหมายที่ใช้กันบ่อย เช่น ตรวจทุกครั้ง หรือบ่อยครั้งที่พบแพทย์
- น้ำตาลก่อนอาหาร ควรอยู่ระหว่าง 90-130 มก./ดล. นิยมใช้ค่าน้ำตาลก่อนอาหารมาวินิจฉัยโรคเบาหวานโดย 126 มก./ดล. ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน และถ้า 100-125 มก./ดล. ถือว่าเป็นภาวะดื้ออินซูลินซึ่งภายหลังต่อมาจะเป็นโรคเบาหวานได้ ถ้าไม่ระวังน้ำตาลจากอาหาร
- ความดันโลหิต น้อยกว่า 130/80 มม. ปรอท
เป้าหมายที่ตรวจในบางครั้ง/ราย
- น้ำตาลหลังอาหาร 2 ชั่วโมง ซึ่งควรน้อยกว่า 180 มก./ดล.
- น้ำตาลที่ตรวจโดยไม่อดอาหาร คนปกติจะน้อยกว่า 140 มก./ดล. ถ้า 200 มก./ดล. ขึ้นไปถือว่าเป็นเบาหวาน แต่การวัดน้ำตาลโดยไม่อดอาหารนั้นไม่นิยมเอามาเป็นเป้าหมายติดตาม เพราะค่าจะแกว่งไปตามอาหารอย่างมาก แต่ก็อาจต้องใช้ติดตามในผู้ป่วยบางรายที่น้ำตาลขึ้นสูงมาก และมีกิจกรรมมาก มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาก หรือต่ำมาก เป็นต้น
เป้าหมายที่ตรวจประมาณ ทุก 3 เดือน
- น้ำตาลเฉลี่ย HbA1C น้อยกว่า 7% โดยคนปกติจะมีค่านี้อยู่ที่น้อยกว่า 5.7
- คอเลสเตอรอล น้อยกว่า 180 มก./ดล.
- เอช ดี แอล คอเลสเตอรอล (ไขมันดี) มากกว่า 40 มก./ดล.
- แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล (ไขมันเลว) น้อยกว่า 100 มก./ดล.
- ไตรกลีเซอไรด์ น้อยกว่า 150 มก./ดล.
- ดัชนีมวลกาย น้อยกว่า 23 กก./ตร.ม
เป้าหมายอาจแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย ในผู้ป่วยแต่ละสภาพ หรือวัย เช่น สูงอายุ หรือหญิงตั้งครรภ์