เกล็ดเลือดต่ำ ภาวะอันตรายที่ควรรู้

ทำความรู้จักอาการที่สามารถสังเกตได้ของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ และวิธีการป้องกัน
เผยแพร่ครั้งแรก 25 มิ.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 20 ก.พ. 2019 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
เกล็ดเลือดต่ำ ภาวะอันตรายที่ควรรู้

"เกล็ดเลือด" เป็นเซลล์ที่สร้างจากไขกระดูก และไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด มีหน้าที่สำคัญในการห้ามเลือดเมื่อเนื้อเยื่อในร่างกายเกิดบาดแผล 

การที่ร่างกายเกิด "ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)" ไม่ว่าจะด้วยจากสาเหตุใดก็ตาม ผลที่ตามมาคือ เมื่อร่างกายเกิดบาดผล จะทำให้มีเลือดออกได้ง่าย และหยุดไหลช้า รวมถึงอาจมีเลือดออกตามเยื่อบุอวัยวะ หรือเลือดออกในสมอง ทำให้ร่างกายเสียเลือดมาก และอันตรายถึงชีวิตได้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ระดับเกล็ดเลือดที่เหมาะสมในคนทั่วไป

ปกติแล้ว คนเราจะมีเกล็ดเลือดประมาณ 150,000–450,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร 

ลักษณะอาการของคนที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

คนที่มีเกล็ดเลือดต่ำเพียงเล็กน้อย อาจไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากเกล็ดเลือดต่ำลงมาก ร่างกายจะเริ่มจะแสดงอาการให้เห็น ได้แก่

  • มีจุดเลือดเล็กๆ สีแดง กระจายอยู่ใต้ผิวหนัง
  • เกิดรอยฟกช้ำได้ง่ายตามร่างกาย
  • เมื่อเกิดบาดแผล เลือดจะหยุดไหลช้า และมีเลือดออกมาก แม้บาดแผลจะมีขนาดเล็ก
  • มีเลือดออกที่จมูก และในปาก
  • ในผู้หญิงอาจมีประจำเดือนมากผิดปกติ
  • หากเกล็ดเลือดต่ำมาก อาจมีเลือดออกที่อวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ สมอง และทำให้ความดันโลหิตต่ำลงมาก จนอาจช็อกและหมดสติ และอาจเสียชีวิตได้

สาเหตุของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ 

สาเหตุของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ แบ่งออกเป็น 2 สาเหตุหลักๆ คือ เกล็ดเลือดในร่างกายถูกใช้หรือทำลายมากกว่าปกติ และร่างกายสร้างเกล็ดเลือดได้ต่ำลง โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. เกล็ดเลือดถูกใช้ หรือถูกทำลายมากกว่าปกติ 

  • มีความผิดปกติของภูมิคุ้มกันร่างกาย หรือที่เรียกว่า “โรคภูมิแพ้ตัวเอง” ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่ควรจะตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม กลับมาทำลายเซลล์ในร่างกายตนเอง ทำให้เกล็ดเลือดถูกทำลายไปด้วย
  • เป็นผลจากการใช้ยาบางชนิด เช่น 
    • ยาเฮพาริน (Heparin) มีฤทธิ์ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด และมักใช้รักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 
    • ยาควินิน (Quinine) เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย 
    • ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ใช้สำหรับรักษาวัณโรค
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus) หรือเรียกสั้นๆ ว่า "ไวรัส CMV" รวมถึงการติดเชื้อแบคทีเรียบางตัวด้วย
  • การตั้งครรภ์ โดยผู้หญิงประมาณร้อยละ 5 จะพบภาวะเกล็ดเลือดต่ำในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
  • ได้รับการผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ ทำให้เกล็ดเลือดปริมาณมากถูกใช้ไปในการสมานแผล
  • เกิดภาวะ Thrombotic Thrombocytopenic Purpura หรือเรียกสั้นๆ ว่า "โรค TTP" ซึ่งทำให้มีลิ่มเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ร่วมกับมีอาการเกล็ดเลือดต่ำ และอาจมีอาการทางไต และทางสมองร่วมด้วยได้

2. ร่างกายสร้างเกล็ดเลือดได้ต่ำลง

  • เป็นโรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia) ทำให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดทุกชนิดได้มากพอ รวมทั้งเกล็ดเลือดด้วย
  • การฉายรังสี และการทำเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
  • การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน และสารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งมีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดในไขกระดูก
  • เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทำให้ไขกระดูกและสเต็มเซลล์ (Stem cell) ของเกล็ดเลือดถูกทำลาย
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein Barr Virus: EBV) และพาโวไวรัส (Parvovirus)
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) ซึ่งมีผลต่อการสร้างเกล็ดเลือด และยาแอสไพริน (Aspirin) ที่ทำให้เกล็ดเลือดทำงานได้ลดลง
  • ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามินบี12 โฟเลต และธาตุเหล็ก

การรักษาภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

หากภาวะเกล็ดเลือดต่ำไม่ได้รุนแรงมากนัก และเกิดจากสาเหตุชั่วคราวที่สามารถหายได้เอง อาจไม่จำเป็นต้องรักษา เพียงแค่ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ปริมาณเกล็ดเลือดก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่หากมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำอย่างรุนแรง จะต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งแนวทางการรักษา ได้แก่

  • รักษาโดยการใช้ยา เช่น 
    • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ชนิดรับประทานและฉีด เพื่อป้องกันการทำลายเกล็ดเลือด 
    • ผู้ป่วยบางรายที่เป็นภูมิแพ้ตัวเอง อาจต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) และริทูซิแมบ (Rituximab) เพื่อยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันด้วย
    • ยาเอลทรอมโบแพค (Eltrombopag) สำหรับฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือด ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาเสตียรอยด์ อิมมูโนโกลบูลิน และ/หรือการตัดม้าม
  • หากมีเกล็ดเลือดต่ำมาก หรือมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำเรื้อรัง จะต้องรักษาโดยการให้เกล็ดเลือด
  • หากมีความผิดปกติของร่างกาย ทำให้เกิดการทำลายเกล็ดเลือดมาก อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดม้าม เพื่อยับยั้งการทำลายเกล็ดเลือด ซึ่งหลังผ่าตัดอาจมีภาวะแทรกซ้อน คือ ร่างกายอ่อนแอ ติดได้เชื้อง่ายขึ้น จึงต้องดูแลสุขภาพร่างกายเป็นพิเศษ

การป้องกันภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่มีผลต่อเกล็ดเลือดโดยไม่จำเป็น และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยา
  • ระมัดระวังไม่ให้เกิดโรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกล็ดเลือดต่ำได้ เช่น โรคไข้เลือดออก
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีเป็นเวลานาน

2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
McHutchison JG et al. (November 29, 2007). "Eltrombopag for thrombocytopenia in patients with cirrhosis associated with hepatitis C". The New England Journal of Medicine. 357 (22): 2227–2236. .
"Eltrombopag / Promacta". fda.gov. United States Food and Drug Administration. Retrieved 18 Feb 2019

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)