รอยฟกช้ำสีดำหรือสีน้ำเงินจะปรากฏบนผิวหนังเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ เช่น โดนมีดบาด หรือโดนทุบบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย ทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เลือดจึงไหลมารวมอยู่ใต้ผิวหนังซึ่งจะทำให้เกิดรอยช้ำขึ้น
รอยฟกช้ำเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย และอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่ารอยฟกช้ำจะเป็นเรื่องธรรมดาที่พบได้ค่อนข้างบ่อย แต่ถ้าหากมีอาการปวดอย่างรุนแรง และมีอาการอื่นร่วมอยู่ด้วย ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
รอยฟกซ้ำสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ขึ้นกับตำแหน่งที่เกิด ได้แก่
- รอยฟกช้ำใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Bruises) : เกิดขึ้นในชั้นไขมันและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
- รอยฟกช้ำชั้นกล้ามเนื้อ (Intramuscular Bruises) : เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง
- รอยฟกช้ำเยื่อหุ้มกระดูก (Periosteal Bruises) : เกิดขึ้นบนกระดูก
อาการของรอยฟกช้ำ
อาการของรอยฟกช้ำจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการฟกช้ำ เมื่อเกิดรอยฟกช้ำขึ้น ผิวหนังจะเปลี่ยนสีเป็นอาการแรก โดยปกติจะเกิดเป็นรอยดำหรือรอยช้ำสีน้ำเงิน เมื่อกดลงไปบนรอยช้ำจะรู้สึกเจ็บ แต่ในบางครั้งรอยช้ำก็อาจมีสีอื่น เช่น
- สีแดง
- สีเขียว
- สีม่วง
- สีน้ำตาล
- สีเหลือง : มักจะเป็นสีที่ปรากฏขึ้นช่วงที่รอยฟกช้ำเริ่มหายเป็นปกติ
เมื่อรอยช้ำหายสนิท ผิวหนังจะเปลี่ยนสีกลับมาเป็นปกติ และอาการกดเจ็บจะหายไป แต่ถ้าหากพบรอยช้ำร่วมกับอาการเหล่านี้ ก็ควรไปพบแพทย์
- เมื่อรับประทานยาแอสไพริน หรือยาละลายลิ่มเลือด แล้วมีรอยช้ำเกิดมากขึ้น
- มีอาการบวมและปวดในแผลฟกช้ำ
- รอยช้ำที่เกิดจากการตกจากที่สูง หกล้ม หรือโดนกระแทกอย่างแรง
- รอยช้ำที่คาดว่ามีกระดูกหักร่วมด้วย
- รอยช้ำที่ไม่ทราบสาเหตุ และเกิดขึ้นตำแหน่งเดิมซ้ำๆ
- รอยช้ำที่ไม่หายดีใน 4 สัปดาห์
- รอยช้ำใต้เล็บและมีอาการเจ็บปวด
- รอยช้ำร่วมกับเลือดไหลจากไรฟัน จมูก หรือปาก
- รอยช้ำร่วมกับมีเลือดปนในปัสสาวะ อุจจาระ หรือเลือดออกตา
- รอยฟกช้ำสีดำในบริเวณขาของคุณ : อาจเกิดจากโรคลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำลึก (DVT) ซึ่งเป็นการก่อตัวของลิ่มเลือดที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
สาเหตุของรอยฟกช้ำ
รอยฟกช้ำส่วนใหญ่เกิดจากการบาดเจ็บของร่างกาย ซึ่งบางสาเหตุสามารถพบได้บ่อย ได้แก่
- การบาดเจ็บจากกีฬา
- สมองกระทบกระแทก (Concussion) : อาการบาดเจ็บของสมองชนิดไม่รุนแรงซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากที่ศีรษะคุณถูกกระแทกหรือภายหลังจากได้รับการบาดเจ็บแบบวิพแลช (Whiplash-Type Injury)
- โรคเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) : ผู้ป่วยมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ อาจพบรอยฟกช้ำร่วมกับอาการเลือดออกในที่ต่างๆ เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดปนในอุจจาระ เป็นต้น
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลิวคีเมีย (Leukemia) : เกิดขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูกเกิดการเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ อาจพบอาการปวดกระดูก กดเจ็บตามร่างกาย อ่อนเพลีบ น้ำหนักลดร่วมอยู่ด้วย
- โรควอนวิลลิแบรนด์ (Von Willebrand Disease) : ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด โดยผู้ป่วยจะขาดสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดที่ชื่อว่า Von Willebrand factor (VWF)
- การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ : เช่น สมองกระทบกระแทก กระดูกกะโหลกศีรษะแตกร้าว และบาดแผลที่หนังศีรษะ กรณีนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
- ข้อเท้าแพลง (Ankle Sprain) : อาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อแข็งหรือเอ็นที่ทำหน้าที่พยุงและเชื่อมกระดูกของขาเข้ากับเท้า จะพบรอยฟกช้ำที่ข้อเท้า ร่วมกับอาการบวมและขยับข้อเท้าไม่ได้
- กล้ามเนื้อฉีกขาด (Muscle Strains) : กล้ามเนื้อถูกยืดหรือฉีกขาดจากการใช้งานเกินขอบเขต ใช้งานหนัก หรือได้รับบาดเจ็บ จะรู้สึกปวด บวม ขยับกล้ามเนื้อไม่สะดวกร่วมอยู่ด้วย
- โรคฮีโมฟีเลยชนิดเอ (Hemophilia A) : ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้ผู้ป่วยมีระดับโปรตีนซึ่งเรียกว่าปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอยู่ในระดับต่ำ หรือไม่มีเลย
- โรคฮีโมฟีเลียชนิดบี (Hemophilia B) : ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่พบได้ยาก ทำให้ผู้ป่วยมีระดับปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิด X อยู่ในระดับต่ำ หรือไม่มีเลย และทำให้เลือดไม่สามารถแข็งตัวได้ปกติเช่นกัน
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัย VII (Factor VII Deficiency) : ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิด VII ได้ หรือมีภาวะบางอย่างขัดขวางการผลิตปัจจัยดังกล่าว เช่น ความผิดปกติทางการแพทย์หรือการได้รับยาบางชนิด
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัย X (Factor X Deficiency) : การขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด X หรือ Stuart-Prower Factor เป็นภาวะที่ร่างกายไม่มีการผลิต หรือมีระดับของปัจจัยการแข็งตัวของเลือดดังกล่าวไม่เพียงพอ
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัย V (Factor V Deficiency) : เกิดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด V หรือ Proaccelerin ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกลไกการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถแข็งตัวได้ตามปกติ อาจเกิดจากการได้รับยาบางชนิด ภาวะความผิดปกติทางการแพทย์ หรือปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Reaction)
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัย II (Factor II Deficiency) : สาเหตุเกิดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด II หรือชื่อว่า Prothrombin ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกลไกการแข็งตัวของเลือดเช่นกัน
- เส้นเลือดขอด (Varicose Vein) : เกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างถูกต้อง ทำให้หลอดเลือดขยายตัวใหญ่ขึ้น บวมพอง และเต็มล้นไปด้วยเลือดที่ค้างอยู่ มักเกิดขึ้นที่ขา
- ลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำลึก (Deep Vein Thrombosis: DVT) : ถือเป็นภาวะร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากลิ่มเลือดเริ่มก่อตัวขึ้นในหลอดเลือดดำส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปในร่างกาย โรคนี้จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วน
หากคุณมีแผลฟกช้ำเกิดใหม่และมีหนองหรือของเหลวหรือเลือดไหลออกจากแผล อาจเป็นไปได้ว่าเกิดการติดเชื้อขึ้น
วิธีการรักษารอยฟกช้ำ
คุณสามารถรักษารอยฟกช้ำด้วยตนเองที่บ้าน ตามวิธีดังต่อไปนี้
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม : นำน้ำแข็งห่อไว้ในผ้าและหลีกเลี่ยงการวางน้ำแข็งลงบนผิวหนังที่มีรอยช้ำโดยตรง ประคบเย็นบนรอยช้ำเป็นเวลา 15 นาที ทำซ้ำทุก ๆ ชั่วโมงตามต้องการ
- ไม่ใช้งานกล้ามเนื้อส่วนที่มีรอยช้ำ
- ยกบริเวณที่ช้ำขึ้นเหนือหัวใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไปกองที่เนื้อเยื่อนั้น
- รับประทานยาแก้ปวด กรณีนี้ให้เลือกรับประทานพาราเซตามอล เพราะแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟนอาจทำให้เลือดออกเพิ่มขึ้น
- สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเพื่อปกป้องรอยฟกช้ำที่แขนและขาของคุณ
ที่มาของข้อมูล
April Kahn and Kristeen Cherney, What causes these black and blue marks? (https://www.healthline.com/health/bruise), July 24, 2017.