ประจำเดือน เป็นสิ่งที่ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนจะต้องเผชิญทุกๆ เดือน ซึ่งลักษณะอาการ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะมีประจำเดือนของผู้หญิงทุกคนก็จะมีความแตกต่างกันไป
ผู้หญิงบางคนอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และสามารถผ่านช่วงเวลามีประจำเดือนไปได้ด้วยดี ในขณะที่อีกหลายๆ คนต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วย ความรู้สึกอ่อนเพลียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนถึงกับต้องลาหยุดงานหรือเรียนเพื่อให้ร่างกายพักผ่อน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ดังนั้นเรื่องของประจำเดือนจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรจะรู้ เพื่อจะได้สังเกตได้ว่า ประจำเดือนของตนเองนั้นผิดปกติหรือไม่ แล้วสาเหตุอะไรที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้บ้าง
ที่มาของประจำเดือน
ประจำเดือน (Menstruation หรือ Period) เกิดจากการหลุดลอกของผนังเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งก่อนหน้านี้หนาตัวขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ โดยผนังเยื่อบุโพรงมดลูกจะหนาตัวขึ้นทุกครั้งที่ร่างกายของผู้หญิงมีการตกไข่
แต่เมื่อไข่ที่ตกไม่ได้รับการปฏิสนธิกับสเปิร์มของเพศชาย ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกจึงหลุดลอกออกมาในรูปของเลือด ซึ่งก็คือประจำเดือนนั่นเอง
โดยปกติ ประจำเดือนจะเกิดขึ้นทุกๆ 21-35 วัน และจะมีระยะเวลาประมาณรอบละ 3-7 วัน
ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะมีประจำเดือน
ในช่วงที่มีประจำเดือน ร่างกายของผู้หญิงหลายคนจะมีความเปลี่ยนแปลงไปชั่วคราว และยังรวมไปถึงสภาพจิตใจด้วย เช่น
- ปวดท้องน้อย
- อารมณ์แปรปรวน อ่อนไหวง่าย บางคนสามารถเป็นภาวะซึมเศร้าได้
- อ่อนเพลียง่าย
- ไม่สบายตัว
- ท้องอืด
- ท้องเสีย
- น้ำหนักขึ้น
นอกจากนี้ ในผู้หญิงแต่ละคนจะมีลักษณะประจำเดือนที่แตกต่างกันไปด้วย บางคนปริมาณประจำเดือนจะมามากในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นก็จะเหลือเพียงกะปริบกะปรอยและหมดรอบไป
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
แต่ผู้หญิงบางคนจะมีปริมาณประจำเดือนแบบกระปริบกระปรอยเป็นเวลานาน บางคนประจำเดือนอาจขาดหายไปเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ และหลายคนอาจเข้าใจผิดอยู่ก็คือ หากประจำเดือนของคุณขาดหายไป นั่นไม่ได้หมายความว่า “คุณกำลังตั้งครรภ์” เสมอไป แต่นั่นอาจหมายถึงสัญญาณของอาการป่วย หรือความผิดปกติภายในร่างกาย
วิธีตรวจสอบความปกติของประจำเดือน
ให้คุณลองถามตัวคุณเองว่า
- ประจำเดือนมาเป็นประจำหรือไม่
- ปริมาณของประจำเดือนต่อรอบมีมากน้อยแค่ไหน แล้วมากี่วัน
- ในแต่ละวันคุณใช้ผ้าอนามัยกี่ชิ้น
- ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าอนามัย ปริมาณเลือดบนผ้าอนามัยมีมากขนาดไหน
- ประจำเดือนครั้งสุดท้ายมากี่วัน
- ในเลือดประจำเดือนมีเลือดก้อนปนด้วยหรือไม่
- ประจำเดือนมีกลิ่น หรือระหว่างมีประจำเดือน คุณมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่
- สีของประจำเดือนเป็นอย่างไร มีสีที่แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่
ความเกี่ยวข้องระหว่างประจำเดือนกับสุขภาพและร่างกาย
1. อาการปวดท้องประจำเดือน
70% ของผู้หญิงทุกคนต้องทุกข์ทนทรมานกับอาการปวดท้องน้อย และมีอาการท้องอืดระหว่างมีประจำเดือน ซึ่งอาการปวดดังกล่าวจะมีแบบทั้งปวดแบบบีบ และปวดเกร็ง ผู้หญิงบางคนอาจปวดแรงถึงขั้นไม่สามารถลุกขึ้นยืนหรือเดินได้
สำหรับสาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือนนั้น เกิดจากเมื่อเยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมา จะทำให้สารคล้ายฮอร์โมนชื่อว่า “โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins)” หลั่งออกมาด้วย และทำให้เกิดการหดรัด หรือการเกร็งของกล้ามเนื้อมดลูกรอบๆ เยื่อบุมดลูก อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบตามมาได้
ซึ่งยิ่งสารโพรสตาแกลนดินหลั่งออกมามากเท่าไร การบีบรัดของกล้ามเนื้อมดลูกก็จะยิ่งแรงมากขึ้น และทำให้ผู้หญิงปวดท้องประจำเดือนมากกว่าเดิมนั่นเอง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการปวดท้องประจำเดือนจัดอยู่ในอาการทั่วไปที่ผู้หญิงส่วนมากจะต้องเผชิญ แต่หากคุณมีอาการปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรงมากๆ หรือปวดทุกเดือนระหว่างมีประจำเดือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แนะนำให้คุณไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยอาการอีกครั้ง
เพราะอาการปวดท้องนี้ อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติบางประการ เช่น
- เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่
- มีเนื้องอกในมดลูก
- ช่องคลอด หรือปากมดลูกมีความผิดปกติแต่กำเนิด
- มีแผลที่ช่องคลอดหรือเกิดการติดเชื้อ
2. ปริมาณของประจำเดือน
โดยทั่วไปประจำเดือนจะมามากในช่วงวันแรกๆ แล้วจะค่อยๆ น้อยลงจนหยุดในที่สุด ซึ่งปริมาณประจำเดือนของผู้หญิงแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป แต่ต้องไม่เกิน 80 ซีซีต่อ 1 รอบ
หลายคนคงสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าประจำเดือนแบบไหนถือว่ามามาก หรือมาปกติ ให้คุณลองดูข้อสงสัยต่อไปนี้
- หากคุณเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง โดยที่ผ้าอนามัยเปียกชุ่มทุกครั้ง หรือปริมาณเลือดประจำเดือนต่อ 1 รอบมากกว่า 80 ซีซี จัดว่าประจำเดือนคุณมา “มาก”
- หากคุณต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 1 ชั่วโมง และยังคงเป็นแบบนี้ไปอีกถึง 7-8 วัน จัดว่าคุณมีประจำเดือนมา “ผิดปกติ” ซึ่งอาจเกิดจากการฉีกขาดหรือบาดเจ็บบริเวณปากมดลูก หรือช่องคลอด หรือปริมาณที่มากเกินไปของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
- หากคุณเปลี่ยนผ้าอนามัย 2-3 ชิ้นต่อวัน หรือเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 1-2 ชั่วโมงเพื่อความสะอาด และปริมาณเลือดประจำเดือนไม่ได้มากหรือน้อยผิดปกติไปจากทุกครั้ง จัดว่าคุณมีประจำเดือน “ปกติ”
- หากประจำเดือนของคุณมีน้อยกว่า 5 ซีซีต่อรอบ โดยไม่ได้ใช้ยาคุมฉุกเฉิน หรือฮอร์โมน จัดว่าคุณมีประจำเดือน “ปกติ”
- หากประจำเดือนมากะปริดกะปรอย หรือมาๆ หยุดๆ ตลอดทั้งเดือน จัดว่าคุณมีประจำเดือน “ผิดปกติ”
สำหรับความผิดปกติของประจำเดือนนั้น อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อ
- โรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia)
- โรคโลหิตจาง
- ฮอร์โมนไม่สมดุล
- มีเนื้องอกหรือก้อนเนื้องอกในสมอง
ดังนั้น หากคุณสังเกตว่าตนเองมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของปริมาณเลือดประจำเดือน ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการทันที
3. สีของประจำเดือน
สีของประจำเดือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความเก่าใหม่ของเลือดข้างในมดลูก โดยเลือดที่ออกมาในช่วงแรกๆ จะมีสีแดงคล้ำเล็กน้อย ต่อมาก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้หญิงบางคนเริ่มต้นรอบด้วยประจำเดือนสีแดงสดก่อน ก่อนที่ในช่วงท้ายของประจำเดือน เลือดจะกลายเป็นสีแดงเข้มขึ้นคล้ายกับสีน้ำตาล
ความผิดปกติของสีประจำเดือน สามารถบอกถึงความผิดปกติจากโรคได้เช่นกัน เช่น ประจำเดือนเป็นสีจางซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคโลหิตจาง ประจำเดือนสีเหมือนน้ำเหลืองซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเนื้องอก และโรคมะเร็ง
4. รอบประจำเดือน
ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่า รอบของประจำเดือนจะเกิดขึ้นทุกๆ 21-35 วัน หรือเดือนละ 1 ครั้ง โดยเริ่มนับจากวันแรกที่มีประจำเดือน ซึ่งหากประจำเดือนของคุณมาซ้ำในช่วงเวลาเดียวกัน จะถือว่ารอบประจำเดือนปกติดี
แต่หากรอบประจำเดือนของคุณมาถี่ หรือนานกว่านั้น หรือรอบประจำเดือนครั้งต่อไปห่างจากวันที่ประจำเดือนควรจะมามากกว่า 7-9 วัน คุณควรต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยความผิดปกติ
ส่วนในกรณีที่คุณประจำเดือนขาดหายไปบ่อยครั้งแต่ไม่ได้ตั้งครรภ์ นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า คุณมีโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ หรือระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลนั่นเอง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดก้อนซีสต์ในรังไข่ได้
แต่บางครั้ง รอบประจำเดือนที่ไม่ตรงเวลาหรือขาดหายไป อาจเป็นผลมาจากความเครียด หรือความวิตกกังวลก็ได้ ดังนั้นหากประจำเดือนของคุณขาดหายไปบ่อยๆ จนผิดสังเกต ก็ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเช็กอาการต่อไป
5. จำนวนวันที่มีประจำเดือน
โดยทั่วไป ผู้หญิงจะมีประจำเดือนนานประมาณ 3-7 วัน โดยในช่วงวันที่ 2-4 จะมีปริมาณประจำเดือนมาค่อนข้างมาก แต่หากเลยวันที่ 4 ไปแล้วเลือดประจำเดือนยังคงมากอยู่ หรือประจำเดือนมาเกิน 8 วัน ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่
ประจำเดือนมาไม่ปกติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน โดยอาจเกิดขึ้นได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่หากคุณรู้สึกว่าประจำเดือนของตนเองมีความผิดปกติไปโดยสังเกตเห็นได้ชัด ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ หรือใช้ความเชื่อ และความเคยชินมาตัดสิน แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพหญิง เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัพเดทแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android