"ทุเรียน" เป็นผลไม้ที่ได้ชื่อว่า "ราชาผลไม้ไทย" มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางจนได้รับความนิยมไปในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยความที่มีรสชาติหวาน มัน อร่อย
เนื้อทุเรียนมีสีเหลือง บางสายพันธู์มีสีเหลืองอมส้ม แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของทุเรียนแทบทุกสายพันธุ์ก็คือ "กลิ่น" ซึ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ ในยามที่สุก พร้อมรับประทาน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ทุเรียนผลไม้อร่อยแต่ก็แฝงไปด้วยอันตราย
ด้วยรสชาติของทุเรียนที่อร่อยจนเป็นที่ติดใจของใครหลายๆ คน และยังมีประโยชน์มากมายหลายอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม ผลไม้ชนิดนี้ก็แฝงไปด้วยอันตราย หากไม่รู้จักเลือกรับประทานให้เหมาะสม
ในทุเรียน 1 ผลจะมีสารอาหารสำคัญได้แก่
- คาร์โบไฮเดรตที่ให้น้ำตาลซูโครสและฟรุกโทส
- วิตามินเอ
- วิตามินซี
- วิตามินอี
- ฟอสฟอรัส
- โพแทสเซียม
- แมงกานีส
- เหล็ก
- ทองแดง
ทุเรียน 100 กรัม จะให้พลังงานมากถึง 187 กิโลแคลอรี
ใครที่ต้องระมัดระวังในการรับประทานทุเรียน
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคไต ไม่ควรรับประทานทุเรียนในปริมาณมากๆ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทุเรียนจัดเป็นผลไม้ที่ให้น้ำตาล ไขมัน และมีพลังงานสูง ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานรับประทานทุเรียนเข้าไป อาจทำให้มีอาการน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ส่งผลให้เจ็บป่วยไม่สบายตัว หรือร้อนใน และอาจเป็นอันตรายถึงภาวะช็อกได้
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ทุเรียนจัดว่า เป็นผลไม้ธาตุร้อนจึงไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายได้
- ผู้ป่วยโรคไตและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ทุเรียนมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นปัญหากับผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยจะขับโพแทสเซียมออกได้ไม่ดี อาจทำให้โรคทวีความรุนแรงและทรุดลงได้ ส่วนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หากรับประทานทุเรียนมากๆ ก็อาจส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้เช่นกัน
อาหารที่ไม่ควรรับประทานคู่กับทุเรียน
การรับประทานทุเรียนจะไม่ส่งผลเสียใดๆ ต่อร่างกายหากรับประทานเพียงเล็กน้อย แต่จะส่งผลอย่างชัดเจนจนเกิดโทษ เมื่อรับประทานทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และผลไม้ หรืออาหารที่มีรสหวานจัด
เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีสารกำมะถันค่อนข้างมาก เมื่อรับประทานทุเรียนคู่กับแอลกอฮอล์แล้ว จะทำให้เอนไซม์บางชนิดในร่างกายได้เปลี่ยนสารพิษ Aldehyde ให้เป็นสารชนิดอื่นที่ไม่ใช่พลังงาน อีกทั้งยังกำจัดสารนี้ออกจากร่างกายได้น้อยลง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ผลที่ตามมาจึงอาจทำให้มีอาการชา วิงเวียนศีรษะ หน้าแดง อาเจียน อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ไม่สบายตัว และอาจเป็นอันตรายได้ ถ้ามีอาการขาดน้ำ หรือหมดสติ หากรับประทานคู่กับคาเฟอีนก็จะทำให้ปวดศีรษะได้
ไม่ควรรับประทานทุเรียนคู่กับผลไม้และเครื่องดื่ม หรืออาหารที่มีรสหวานจัดอย่างเช่น ลำไย น้ำอัดลม เพราะเท่ากับไปเพิ่มน้ำตาลและให้พลังงานสูงแก่ร่างกายยิ่งขึ้นไปอีก หากรับประทานมากก็จะเป็นร้อนในได้ อีกทั้งยังสามารถสะสมเป็นไขมันที่ทำให้อ้วนด้วยเช่นกัน
ข้อควรระวังในการรับประทานทุเรียน
- ควรรับประทานทุเรียนคู่กับมังคุด เนื่องจากมังคุดมีใยอาหารสูงและมีน้ำมาก สามารถแก้อาการร้อนในได้
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวดังกล่าวไม่ควรรับประทานทุเรียนเกิน 1 เม็ดเล็กต่อวัน และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งไม่ควรรับประทานทุเรียนที่แปรรูปแล้ว เช่น ทุเรียนกวน หรือทุเรียนทอด เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าทุเรียนผลสดๆ
- เมื่อรับประทานทุเรียนแล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด หรือมันจัด เพื่อที่จะได้รับพลังงานในปริมาณที่ไม่เกินกว่าร่างกายต้องการ
- ไม่รับประทานทุเรียนในปริมาณที่มากเกินไป เพราะจะทำให้แน่นและจุกเสียดได้
- หากมีอาการร้อนใน หรือเจ็บคอ ให้ดื่มน้ำตามมากๆ หรือดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชา เพื่อขับสารซัลเฟอร์ให้ออกมาแล้วอาการร้อนในก็จะดีขึ้น
การรับประทานทุเรียนในปริมาณที่ไม่มาก จะให้ประโยชน์มากกว่าที่จะให้โทษแก่ร่างกาย เพราะมีสารอาหารที่มีคุณค่าจำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง แต้หากรับประทานมากติดต่อกันหลายๆ วัน ก็จะทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาได้
หากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว แต่ชื่นชอบการรับประทานทุเรียน ก็ควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสมควบคู่ไปด้วย จึงจะได้ทั้งความอิ่มอร่อยและสุขภาพดีอย่างไม่ต้องกังวลกับปัญหาสุขภาพที่จะตามมา
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพหญิงและชายทุกวัย จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชันเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android