คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) คือเม็ดสีเขียวที่พบในพืชต่างๆ พืชจะใช้คลอโรฟิลล์กับแสงในการสร้างอาหารให้กับตนเอง มีการนำคลอโรฟิลล์ไปผลิตยา โดยใช้หญ้าอัลฟาฟ่า (Alfalfa (Medicago sativa)) และมูลของหนอนไหม มีประโยชน์ในการใช้ระงับกลิ่นปากและรักษาอาการท้องผูก ขับสารพิษ และรักษาบาดแผลผ่าตัดได้ด้วย
บุคลากรทางการแพทย์ยังใช้วิธีฉีดคลอโรฟิลล์เข้าเส้นเลือดเพื่อรักษาปัญหาตับอ่อนที่เรียกว่าภาวะ Chronic relapsing pancreatitis
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
คลอโรฟิลล์ทำงานอย่างไร?
หลังจากคลอโรฟิลล์ผ่านทางเดินอาหารเข้าสู่สภาวะกรดของกระเพาะอาหาร จะแตกตัวเปลี่ยนไปเป็นพลีโอไฟติน (Pheophytins (PHE)) แล้วจึงถูกดูดซึมที่เซลล์ลำไส้เล็ก เพื่อเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตต่อไป
ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์
คลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนี้
- บรรรเทาภาวะตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและอาการอื่นๆ ของผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบเรื้อรังกลับช้ำ (Chronic relapsing pancreatitis)
- ชะลอวัย (Anti-aging remedy) ผลการศึกษาพบว่า การใช้เจลทาผิวที่ประกอบด้วยสารคลอโรฟิลลิน (Chlorophyllin) จะลดการทำลายผิวหนังที่เกิดจากการได้รับแสงแดดที่นานเกินไป แม้การศึกษานี้จะทำในคนกลุ่มน้อย แต่ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่า มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant effect)
- สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง (Blood-building properties) โครงสร้างของสารนี้มีความคล้ายคลึงกับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) จึงกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้หัวใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มการไหลเวียนของออกซิเจนในร่างกาย ช่วยรักษาภาวะโลหิตจาง (Anemia) และธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
- สมานแผล (Wound-healing properties) ทั้งช่วยสมานแผลผ่าตัดและป้องกันการติดเชื้อ
ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่าใช้คลอโรฟิลล์รักษาได้หรือไม่
- แผลที่เกิดจากเชื้อไวรัสเริม (Herpes simplex virus (HSV)) งานวิจัยพบว่าการทาคลอโรฟิลล์ในรูปของเจลหรือสารละลายบนผิวหนังจะช่วยฟื้นฟูและลดจำนวนของแผลที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริมได้
- โรคงูสวัด (Shingles or Herpes zoster) งานวิจัยพบว่าการทาคลอโรฟิลล์ในรูปของเจลหรือสารละลายบนผิวหนังช่วยฟื้นฟูและลดความถี่ของอาการปวดจากโรคงูสวัดได้
- มะเร็งปอด งานวิจัยพบว่าหากฉีดเข้าเส้นเลือดพร้อมกับยาทาลาพอร์ฟิน (Talaporfin) ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์อาจช่วยลดรอยโรคของผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะต้นได้ แต่ผลที่ได้ของวิธีการนี้คงอยู่เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
- มะเร็งผิวหนัง งานวิจัยพบว่าการฉีดคลอโรฟิลล์เข้าเส้นเลือดหรือการทาบนผิวหนังร่วมกับการบำบัดด้วยแสงหรือเลเซอร์จะลดการกลับมาของมะเร็งผิวหนังทั่วไปที่เรียกว่า Basal cell carcinoma ได้
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้คลอโรฟิลล์
คลอโรฟิลล์จัดว่าน่าจะปลอดภัยสำหรับผู้รับประทานส่วนใหญ่ ส่วนการฉีดเข้าเส้นเลือดหรือทาบนผิวหนังยังนับว่าอาจจะปลอดภัยหากกำกับดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่ทำให้ผิวหนังอ่อนไหวต่อแสงมากขึ้น หากคุณเป็นคนผิวสีอ่อนแล้วใช้คลอโรฟิลล์ ควรทาครีมกันแดดก่อนออกนอกอาคาร
คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ
ขณะนี้ยังคงขาดแคลนข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความปลอดภัยจากการใช้คลอโรฟิลล์ในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตรกับหญิงตั้งครรภ์ ดังนั้นคนในกลุ่มดังกล่าวควรเลี่ยงใช้สารชนิดนี้เพื่อความปลอดภัย
การใช้คลอโรฟิลล์ร่วมกับยาชนิดอื่น
ควรระมัดระวังการใช้คลอโรฟิลล์ร่วมกับยาที่กระตุ้นความไวต่อแสง (Photosensitizing drugs)
ยาบางตัวทำให้ร่างกายมีความไวต่อแสงอาทิตย์มากขึ้น และคลอโรฟิลล์เองก็เพิ่มความไวต่อแสงได้เช่นกัน ดังนั้นการรับประทานคลอโรฟิลล์ร่วมกับยาเหล่านั้นอาจเพิ่มโอกาสที่จะโดนแดดเผาได้ง่าย เกิดตุ่มหนอง หรือผื่นขึ้นบริเวณผิวที่โดนแดด แนะนำว่าควรสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายและทาครีมกันแดดเมื่อต้องออกกลางแจ้ง โดยยาที่เพิ่มความไวต่อแสงอาทิตย์มีดังนี้ Amitriptyline (Elavil), Ciprofloxacin (Cipro), Norfloxacin (Noroxin), Lomefloxacin (Maxaquin), Ofloxacin (Floxin), Levofloxacin (Levaquin), Sparfloxacin (Zagam), Gatifloxacin (Tequin), Moxifloxacin (Avelox), Trimethoprim/Sulfamethoxazole (Septra), Tetracycline, Methoxsalen (8-methoxypsoralen, 8-MOP, Oxsoralen), และ Trioxsalen (Trisoralen)
ปริมาณยาคลอโรฟิลล์ที่ควรใช้
อาจเริ่มต้นใช้คลอโรฟิลล์ขนาด 100-300 มิลลิกรัม/วัน
ปริมาณที่เหมาะสมในการใช้ในแต่ละคนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพของผู้ใช้ ผู้ใช้ควรอ่านคำแนะนำบนฉลากของผลิตภัณฑ์และปรึกษาเภสัชกร แพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ก่อนใช้