โรคมะเร็งผิวหนังเกิดได้กับผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหนังศีรษะ ใบหน้า จมูก ใบหู ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ และถุงอัณฑะ
ผิวหนัง เป็นเนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) ซึ่งปกคลุมอยู่ภายนอกร่างกาย มีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะภายใน และรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ ผิวหนังในที่นี้รวมถึงหนังศีรษะ ผิวหนังที่ปกคลุมอวัยวะเพศ ถุงอัณฑะ (ในเพศชาย) และผิวหนังบริเวณส่วนนอกของทวารหนัก
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
โรคมะเร็งผิวหนังนั้น จัดเป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบบ่อย ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของโรคมะเร็งที่พบมากในหญิงไทย
โรคมะเร็งผิวหนังสามารถเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย แต่เกิดได้น้อยกว่ามากในเด็ก
สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง
ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แท้จริงของโรคมะเร็งผิวหนัง แต่เชื่อว่า เกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยงรวมกัน โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่
- การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี (Ultraviolet radiation: UV) จากแสงแดด ทั้งชนิดยูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะแสงแดดในช่วง 9.00-16.00 น. เพราะเป็นช่วงที่รังสียูวีมีปริมาณสูง
- คนที่ผิวบาง ไวต่อแสงแดด สังเกตได้จากเมื่อถูกแดดแล้วผิวจะคล้ำเร็ว หรือไหม้ง่าย
- ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด ทั้งจากชนิดที่ถ่ายทอดได้ และชนิดที่ไม่ถ่ายทอด ซึ่งมักเป็นพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งตัว หรือการตายของเซลล์ปกติ
- เชื้อชาติ เพราะโรคมะเร็งผิวหนังเป็นโรคที่พบบ่อยในคนเชื้อชาติตะวันตก
- การเป็นแผลเรื้อรังของผิวหนัง ทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้
- การกลายพันธุ์ไปเป็นมะเร็งของไฝ และปาน
- การที่ผิวหนังได้รับสารเคมี หรือยาพอกบางชนิดอย่างเรื้อรัง เช่น สารหนู (Arsenic) และสารไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) จึงเกิดการกลายพันธุ์ไปเป็นมะเร็ง
- การที่ผิวหนังได้รับรังสีเอกซ์ (X-rays) ปริมาณสูง หรืออย่างเรื้อรัง อาจเกิดการกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้เช่นกัน
- การได้รับยาและสารบางชนิดที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่ายกาย
อาการของโรคมะเร็งผิวหนัง
โรคมะเร็งผิวหนังไม่มีอาการเฉพาะ ลักษณะอาการจะเหมือนการมีแผลเรื้อรัง ไฝ และ/หรือปานทั่วไป โดยอาการของมะเร็งผิวหนังที่พบบ่อย ได้แก่
- มีก้อนเนื้อผิดปกติ และโตเร็วในผิวหนัง หรือบนผิวหนัง โดยมักไม่มีอาการเจ็บ หรือปวด
- ก้อนเนื้อผิวหนังที่ผิดปกติมักจะอยู่บริเวณผิวที่ได้รับการสัมผัสแสงอาทิตย์ เช่น ใบหน้า ใบหู มือ หลัง และอกส่วนบน
- มีแผลเรื้อรัง ลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะได้รับการรักษาด้วยวิธีทั่วไปแล้วก็ตาม อาจมีอาการเจ็บแผลร่วมด้วย
- มีไฝ หรือปานผิดปกติไปจากเดิม มักกินลึกลงไปในผิวหนัง โตเร็ว หรือแตกเป็นแผล
- เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น จะมีต่อมน้ำเหลืองที่ใกล้เคียงกับจุดที่เกิดแผล หรือก้อนมะเร็งโตจนคลำได้ แต่มักไม่มีอาการเจ็บ
การวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง
แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนังได้จากการสอบถามประวัติอาการ การตรวจร่างกาย ตรวจลักษณะก้อนเนื้อ หรือแผล แต่วิธีตรวจที่แน่ชัดที่สุด คือ การตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อ หรือแผล ไปตรวจทางพยาธิวิทยา
ชนิดของโรคมะเร็งผิวหนัง
โรคมะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยมี 3 ชนิด คือ ชนิดเบซาล (Basal cell carcinoma) ชนิดสความัส (Squamous cell carcinoma) ซึ่งทั้งสองชนิดนี้เรียกรวมกันว่า มะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา (Non-melanoma skin cancer) และชนิดเมลาโนมา (Malignant melanoma)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ระยะของโรคมะเร็งผิวหนัง
โรคมะเร็งผิวหนัง มี 4 ระยะเช่นเดียวกับโรคมะเร็งอื่นๆ ทั่วไป
ระยะของโรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา
- ระยะที่ 1 ก้อน หรือแผลมะเร็งมีขนาดโตไม่เกิน 2 เซนติเมตร และเป็นชนิดมีความรุนแรงต่ำ
- ระยะที่ 2 ก้อน หรือแผลมะเร็งมีขนาดโตไม่เกิน 2 เซนติเมตร แต่เป็นชนิดมีความรุนแรงสูง หรือมีขนาดมากกว่า 2 เซนติเมตร
- ระยะที่ 3 ก้อน หรือแผลมะเร็งลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงก้อน หรือแผลมะเร็งเพียงต่อมเดียว และมีขนาดโตไม่เกิน 3 เซนติเมตร
- ระยะที่ 4 ก้อนมะเร็งลุกลามมาก ลุกลามเข้าหลายๆ อวัยวะ และ/หรือเข้ากระดูก
และ/หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงหลายต่อม
และ/หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงมีขนาดโตกว่า 6 เซนติเมตร
และ/หรือโรคมะเร็งแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไปจากก้อน หรือแผลมะเร็ง
และ/หรือแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไป มักแพร่กระจายเข้าสู่ปอด และกระดูก
ระยะของโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา
- ระยะที่ 1 ก้อนมะเร็งโตไม่เกิน 2 มิลลิเมตร
- ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งโตไม่เกิน 2 มิลลิเมตร แต่แตกเป็นแผล หรือก้อนมะเร็งโตเกิน 2 มิลลิเมตร ขึ้นไป
- ระยะที่ 3 โรคมะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับก้อน หรือแผลมะเร็ง
- ระยะที่ 4 โรคมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น อวัยวะที่พบบ่อยคือ ปอด กระดูก ตับ และสมอง หรือแพร่กระจายตามกระแสน้ำเหลืองไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลจากก้อนมะเร็ง
Q&A
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคมะเร็งผิวหนังระยะที่เท่าไร
แพทย์ทราบได้ว่า ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งผิวหนังระยะที่เท่าไร จากการตรวจด้วยวิธีต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น
โรคมะเร็งผิวหนังมีวิธีรักษาอย่างไร
วิธีหลักในการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังคือ การผ่าตัด อาจร่วมกับรังสีรักษา และ/หรือเคมีบำบัดเมื่อมีโรคลุกลาม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดของเซลล์มะเร็ง ตำแหน่งผิวหนังที่เกิดโรค อายุ และสุขภาพของผู้ป่วย ส่วนการรักษาด้วยยารักษาตรงเป้า หรือวัคซีน ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา
โรคมะเร็งผิวหนังรักษาหายได้หรือไม่
โรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา จัดเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงต่ำ หรือปานกลาง โอกาสรักษาหายสูงมาก โดยเฉพาะในระยะแรกๆ มีโอกาสรักษาหายสูงถึงประมาณ 80-90%
โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา จัดเป็นมะเร็งชนิดที่มีความรุนแรงสูง โอกาสรักษาหายต่ำกว่าชนิดไม่ใช่เมลาโนมา อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสรักษาหายได้ แต่ทั้งนี้ก็เช่นเดียวกับโรคมะเร็งอื่นๆ คือ โอกาสในการรักษาหายของโรคมะเร็งผิวหนังทั้งสองชนิดนอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งแล้ว ยังขึ้นอยู่กับระยะของโรค และสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยด้วย
มีวิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งผิวหนังหรือไม่
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพพอจะตรวจพบโรคมะเร็งผิวหนังในระยะแรก ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การสังเกตผิวหนัง ไฝ หรือปานของตนเอง เมื่อพบว่ามีการแตกเป็นแผล โตเร็วผิดปกติ มีก้อนเนื้อผิดปกติ หรือมีแผลเรื้อรังบนผิวหนัง ควรรีบไปปรึกษาแพทย์
มีวิธีป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังหรือไม่
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังที่มีประสิทธิภาพ วิธีป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่หลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะการถูกแสงแดดจัดเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงการอาบแดด
ดังนั้น เมื่อต้องออกแดกควรใช้ร่ม สวมหมวก หรือเสื้อผ้าปิดบัง เพื่อให้ผิวหนังได้รับแสงแดดโดยตรงน้อยที่สุด และใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในการป้องกันรังสียูวีเอ คือ ค่าพีเอ (Protection grade of UVA: PA) ตั้งแต่สามบวก (+++) ขึ้นไป และรังสียูวีบี คือ ค่าเอสพีเอฟ (Sun protection factor: SPF ) ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป