การมีลูกถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของผู้หญิงหลายๆ คน แต่ไม่ว่าคุณจะวางแผนรองรับการตั้งครรภ์ไว้ดีแค่ไหน แต่ก็อาจจะไม่ได้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ ดังนั้นการเรียนรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ว่ามีอะไรบ้าง จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับอีกหลายเดือนข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง
การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
การตั้งครรภ์จะแตกต่างกันในผู้หญิงแต่ละราย ผู้หญิงบางรายมีสุขภาพแข็งแรงดีและรู้สึกมีชีวิตชีวาในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ แต่บางคนก็รู้สึกทุกข์ทรมาน ต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่จะพบได้ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่ต้องปรึกษาแพทย์
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เลือดออกทางช่องคลอด
ประมาณ 25% ของหญิงตั้งครรภ์มีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ (3 เดือนแรก) โดยเลือดที่ออกเพียงเล็กน้อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์นี้อาจเป็นสัญญาณของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วมีการฝังตัวที่มดลูก อย่างไรก็ตามถ้าคุณมีเลือดออกปริมาณมาก ปวดเกร็งช่องท้อง ให้ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการแท้ง หรือการท้องนอกมดลูก
เจ็บคัดตึงเต้านม
อาการเจ็บคัดตึงเต้านมถือเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งในช่วงแรกๆ ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งจะเป็นการเตรียมท่อน้ำนมสำหรับให้นมลูก ซึ่งอาจมีอาการตลอดช่วงระยะเวลาของไตรมาสแรก การใส่ยกทรงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะช่วยให้คุณรู้สึกสบายตัวมากขึ้น คุณสามารถกลับไปใช้ยกทรงแบบเดิมได้ภายหลังลูกหย่านมแล้ว
ท้องผูก
ระหว่างการตั้งครรภ์ การบีบตัวของกล้ามเนื้อเพื่อดันให้อาหารไปยังลำไส้ทำงานช้าลง อันเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น นอกจากนี้การได้รับธาตุเหล็กเพิ่มจากวิตามินเสริมระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้มีอาการท้องผูกและเกิดแก๊สขึ้น ทำให้มีอาการท้องอืดระหว่างตั้งครรภ์ได้ การรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงและดื่มน้ำมากๆ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าว
ถ้าอาการท้องผูกเป็นมากจนรบกวนคุณ ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาระบายอ่อนๆ ที่สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยระหว่างตั้งครรภ์
ตกขาว
คุณสามารถพบตกขาวคล้ายนมได้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามถ้าตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีสีเหลือง หรือมีมากผิดปกติ ให้ปรึกษาแพทย์
อ่อนเพลีย
ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารก ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ดังนั้นแนะนำงีบหลับหรือพักผ่อนเมื่อคุณต้องการตลอดวัน นอกจากนี้ต้องมั่นใจว่าคุณได้รับธาตุเหล็กเพียงพอ เพราะการได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไปจะทำให้มีภาวะโลหิตจาง ซึ่งจะทำให้มีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อยากอาหารหรือไม่ชอบอาหารบางชนิด
การรับรสอาหารสามารถเปลี่ยนไประหว่างตั้งครรภ์ได้ พบว่ามากกว่า 60% ของหญิงตั้งครรภ์รู้สึกอยากอาหาร และมากกว่าครึ่งหนึ่งเคยมีอาการไม่ชอบอาหารบางชนิด ความรู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติในช่วงนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ปริมาณพลังงานเหมาะสม
ปัสสาวะบ่อย
แม้ว่าทารกในครรภ์จะตัวเล็ก แต่มดลูกจะมีการขยายขนาดขึ้นตลอดเวลา ทำให้มีแรงกดไปที่กระเพาะปัสสาวะ ดังนั้นสุดท้ายแล้วคุณจะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย แต่อย่าหยุดดื่มน้ำ เพราะคุณยังต้องการน้ำ แต่ให้ลดปริมาณคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนนอน เมื่อคุณรู้สึกปวดปัสสาวะ ให้ไปปัสสาวะให้เร็วที่สุด ไม่ต้องกลั้นไว้
แสบร้อนกลางอก
ระหว่างการตั้งครรภ์ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมากขึ้น ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบ รวมถึงกล้ามเนื้อหูรูดที่หลอดอาหารส่วนล่าง ซึ่งปกติจะมีหน้าที่ช่วยให้อาหารและกรดยังคงถูกเก็บไว้ในกระเพาะอาหาร เมื่อกล้ามเนื้อนี้คลายตัวลงจะทำให้กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารขึ้นมาได้ ทำให้มีอาการแสบร้อนกลางอกขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการนี้ ให้รับประทานอาหารให้บ่อยครั้ง แต่ปริมาณน้อยลง ไม่นอนราบลงทันทีภายหลังรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง รสเผ็ด และผลไม้ที่เป็นกรด เช่น มะนาว คุณสามารถทดลองนอนหมอนสูงขึ้นได้
อารมณ์แปรปรวน
อาการอ่อนเพลีย และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายจะทำให้คุณมีอารมณ์แปรปรวน อาจรู้สึกเบื่อหน่าย หวาดกลัว หรืออื่นๆ ในช่วงนี้ สามารถร้องไห้ได้ เพื่อให้อาการดีขึ้น แต่ถ้าคุณรู้สึกแย่ หวาดกลัว หรืออื่นๆ ควรหาผู้รับฟังที่เข้าใจ ที่ไม่ใช่สามีคุณ แต่ควรเป็นเพื่อนหรือบุคคลอื่นในครอบครัว
คลื่นไส้
อาการคลื่นไส้ พบได้มากถึง 85% ของหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจมีอาการตลอดช่วงไตรมาสแรก ในหญิงตั้งครรภ์บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจไม่สามารถเริ่มต้นทำกิจกรรมในวันนั้นได้เลยถ้ายังไม่ได้อาเจียนก่อน โดยส่วนใหญ่อาการจะเป็นมากช่วงเช้า จึงเรียกว่า morning sickness หรือเรียกอีกอย่างว่า อาการแพ้ท้อง ในการบรรเทาอาการคลื่นไส้ ให้ลองรับประทานแครกเกอร์ หรือดื่มน้ำผลไม้ใส เช่น น้ำแอปเปิ้ล หรือน้ำขิง เพื่อบรรเทาอาการ คุณอาจต้องทำแบบนี้ก่อนลุกจากเตียง หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง โดยทั่วไปอาการคลื่นไส้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องกังวล แต่ถ้ามันยังคงมีอยู่หรือมีอาการรุนแรง จะส่งผลต่อปริมาณสารอาหารที่จะไปสู่ทารก ดังนั้นให้ปรึกษาแพทย์หากคุณไม่สามารถหยุดอาเจียนได้
น้ำหนักเพิ่ม
การตั้งครรภ์ถือเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่ช่วงที่น้ำหนักตัวเพิ่มในช่วงนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้หญิง แต่ก็ไม่ควรเพิ่มมากเกินไป ในช่วงไตรมาสแรก คุณควรมีน้ำหนักเพิ่มประมาณ 1.4-2.7 กิโลกรัม (แพทย์อาจแนะนำตัวเลขน้ำหนักที่ควรเพิ่มเป็นตัวเลขอื่นได้ ถ้าก่อนตั้งครรภ์คุณมีน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานหรือมีน้ำหนักสูงเกินกว่ามาตรฐาน) แม้ว่าในร่างกายของคุณจะมีทารกอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรับประทานอาหารปริมาณมากสำหรับสองคน จริงๆ แล้ว คุณต้องการพลังงานเพิ่มเพียง 150 แคลอรี่ต่อวัน เท่านั้น ระหว่างช่วงไตรมาสแรกนี้ และให้พลังงานที่ได้รับนั้นเป็นพลังงานจากอาหารที่เป็นประโยชน์ กล่าวคือ ให้เพิ่มผัก ผลไม้ นม ขนมปังธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เป็นส่วนประกอบของมื้ออาหารของคุณ
อาการเตือน!
อาการบางชนิดที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ถือเป็นสัญญาณอันตราย หากมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที โดยไม่ต้องรอไปพบตามนัด ได้แก่
- ปวดท้องรุนแรง
- มีเลือดออกจากช่องคลอดมาก
- เวียนศีรษะรุนแรง
- น้ำหนักตัวเพิ่มอย่างรวดเร็ว หรือน้ำหนักตัวเพิ่มน้อยเกินไป
ที่มา : https://www.webmd.com/baby/guide/first-trimester-of-pregnancy#1