คนส่วนมากมักเข้าใจว่าโรคตับอักเสบนั้นเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ และการติดเชื้อไวรัสเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความบาดเจ็บเสียหายของเนื้อเยื่อตับในคนที่ไม่มีความเสี่ยงอื่นๆ เลยได้เช่นกัน นั่นก็คือ ภาวะไขมันพอกตับ นั่นเอง
ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
คือการที่เซลล์ตับมีไขมันแทรกตัวสะสมอยู่เกินกว่า 5-10% ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดตับอักเสบ เนื้อเยื่อตับกลายเป็นพังผืด และเป็นตับแข็งในที่สุด ซึ่งไขมันพอกตับอาจเกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ก็ได้ ภาวะไขมันพอกตับแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่
ตรวจตับวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 78 บาท ลดสูงสุด 65%
ตรวจตับ วันนี้ เปรียบเทียบราคา / ประหยัดกว่า / ผ่อน 0% ได้ / แอดมินพร้อมให้บริการ กดที่นี่
- ระยะที่ 1 มีไขมันเกาะอยู่ที่เนื้อตับ แต่ยังไม่เกิดการอักเสบ
- ระยะที่ 2 เริ่มมีการอักเสบของตับ หากปล่อยไว้นานเกิน 6 เดือน จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังได้
- ระยะที่ 3 การอักเสบรุนแรงขึ้น เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้นและกลายเป็นพังผืด
- ระยะที่ 4 เนื้อเยื่อตับถูกทำลายจนทำงานผิดปกติ กลายเป็นตับแข็ง และอาจเป็นมะเร็งตับได้
อาการของไขมันพอกตับ
ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการใดๆ จนกระทั่งเริ่มเกิดการอักเสบขึ้น จึงจะเริ่มแสดงอาการคล้ายกับผู้ป่วยโรคตับจากสาเหตุอื่นๆ เช่น
- รู้สึกปวดท้อง ไม่สบายท้อง โดยเฉพาะท้องด้านขวา
- คลื่นไส้อาเจียน
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- อ่อนเพลีย หมดแรง สับสน มึนงง
และหากการอักเสบรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรคตับที่เด่นชัด เช่น
สาเหตุของไขมันพอกตับ
เกิดจากการที่มีไขมันสะสมในร่างกายมาก และระบบเผาผลาญไขมันผิดปกติ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ได้แก่
- การมีไขมันในเลือดสูง
- การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
- เป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน
- การลดน้ำหนักผิดวิธีโดยการอดอาหาร
- มีความผิดปกติของลำไส้ในการดูดซึมอาหาร
- เป็นผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น Glucocorticoid และ Oestrogens
- มีความผิดปกติอื่นๆ เช่น ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนของไขมันพอกตับ
เช่นเดียวกับโรคตับจากสาเหตุอื่นๆ ภาวะไขมันพอกตับจะทำให้ตับทำงานผิดปกติ และส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายอื่นๆ เช่น มีอาการท้องมาน เนื่องจากของเหลวคั่งค้างในช่องท้อง เส้นเลือดดำในหลอดอาหารแตก ทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหาร มีอาการมึนงง สับสน และพูดไม่ชัด เนื่องจากตับไม่สามารถกำจัดสารบางอย่างได้ สารดังกล่าวจึงไปรบกวนการทำงานของสมอง และอาการตับอักเสบเรื้อรังก็อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับได้เช่นกัน
การรักษาไขมันพอกตับ
ภาวะไขมันพอกตับ มักรักษาด้วยการให้ยา ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต
การให้ยา ยาและสารที่มักใช้บรรเทาอาการ ได้แก่
ตรวจตับวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 78 บาท ลดสูงสุด 65%
ตรวจตับ วันนี้ เปรียบเทียบราคา / ประหยัดกว่า / ผ่อน 0% ได้ / แอดมินพร้อมให้บริการ กดที่นี่
- ยาเพิ่มความไวต่ออินซูลิน โดยทั่วไปใช้สำหรับรักษาโรคเบาหวาน แต่ยาในกลุ่มนี้ก็สามารถลดระดับเอนไซม์ตับได้เช่นกัน โดยยาดังกล่าว ได้แก่ ไพโอกลิตาโซน และ เมทฟอร์มิน
- ยาลดไขมันในเลือด ยากลุ่ม Statin เป็นยาที่ใช้ควบคุมระดับไขมันในเลือด ซึ่งสามารถบรรเทาภาวะไขมันพอกตับในผู้ป่วยที่มีไขมันสูงได้
- สารสกัดจากสมุนไพร สารต้านอนุมูลอิสระกลุ่ม polyphenols และ flavonoids ที่สกัดได้จากพืชหลายชนิด เช่น ชาเขียว มีคุณสมบัติช่วยปกป้องเซลล์ตับไม่ให้ถูกทำลายจากสารพิษและไขมัน จึงสามารถยับยั้งและบรรเทาการอักเสบได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาสมุนไพรควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- วิตามิน อี มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องเซลล์ตับจากการอักเสบ แต่การรับวิตามิน อี มากเกินไปจนเกิดการสะสมในร่างกาย ก็อาจมีผลข้างเคียงที่อันตรายได้เช่นกัน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับ คือการมีไขมันในร่างกายสูง และการดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น การออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เพื่อลดระดับไขมันในเลือด และการงดดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้ภาวะไขมันพอกตับดีขึ้นได้
การป้องกันไขมันพอกตับ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ และลดอาหารประเภทไขมัน เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังอย่างโรคอ้วน และโรคเบาหวาน และป้องกันไม่ให้ระดับไขมันในเลือดสูง
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก