ภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) เป็นอาการทางการแพทย์ที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการกลืนอาหารหรือของเหลวบางประเภท หรือบางกรณีอาจจะกลืนไม่ได้เลย
สัญญาณอื่นของภาวะกลืนลำบากมีดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ไอ หรือสำลักเมื่อดื่มหรือรับประทาน
- อาหารไหลย้อนกลับ บางครั้งอาจจะออกมาจากจมูก
- มีความรู้สึกเหมือนอาหารติดอยู่ในลำคอหรือหน้าอก
- มีน้ำลายไหล
เมื่อผ่านไปนานเข้า ภาวะนี้จะทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เพิ่มเติมเช่นน้ำหนักลด และมีการติดเชื้อในอกซ้ำซาก
คุณควรไปพบแพทย์เมื่อคุณประสบกับภาวะกลืนลำบาก
อะไรเป็นสาเหตุของภาวะกลืนลำบาก?
ภาวะกลืนลำบากมักเกิดมาจากภาวะสุขภาพอื่น เช่น
- ภาวะที่ระบบประสาท เช่นโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) การบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือโรคสมองเสื่อม (dementia)
- มะเร็งต่าง ๆ เช่นมะเร็งช่องปาก หรือมะเร็งหลอดอาหาร
- โรคกรดไหลย้อน (gastro-oesophageal reflux disease - GORD)
ภาวะกลืนลำบากยังสามารถเกิดกับเด็กที่มีภาวะความบกพร่องด้านการเรียนรู้หรือพัฒนาการได้เช่นกัน
ภาวะนี้ยังเกิดได้จากปัญหาต่าง ๆ ที่: ปากหรือลำคอ หรือเรียกว่าภาวะกลืนลำบากที่คอหอยส่วนบน (oropharyngeal หรือ "high" dysphagia) หลอดอาหาร (ท่อที่ลำเลียงอาหารจากปากลงไปยังกระเพาะอาหาร) หรือเรียกว่าภาวะกลืนลำบากที่คอหอยส่วนล่าง ("low" dysphagia)
การรักษาภาวะกลืนลำบาก
การรักษาภาวะกลืนลำบากจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและประเภทของภาวะ โดยประเภทของภาวะนี้สามารถถูกวินิจฉัยได้จากการสังเกตความสามารถในการกลืนของคุณ และจากการตรวจสอบหลอดอาหารของคุณ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
หลายกรณีจะดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษา แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง โดยการรักษาภาวะกลืนลำบากมีดังนี้: การบำบัดภาษาและการพูดเพื่อเรียนรู้เทคนิคกลืนอาหารแบบใหม่ การเปลี่ยนแปลงลักษณะอาหารและของเหลวที่ทานเข้าไป เพื่อให้กลืนลงได้ง่ายและปลอดภัยขึ้น ใช้วิธีการป้อนอาหารแบบอื่น เช่นการใช้ท่อสวนจมูกหรือให้อาหารผ่านทางสายต่อกระเพาะ การผ่าตัดขยายหลอดอาหารที่ตีบแคบด้วยการถ่างหรือใช้ท่อโลหะหรือพลาสติกดามไว้
สาเหตุของภาวะกลืนลำบาก
การกลืนเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะกลืนลำบากขึ้น โดยมีตัวอย่างและรายละเอียดของสาเหตุดังต่อไปนี้
สาเหตุทางประสาท
ระบบประสาทเป็นกลุ่มระบบของสมอง เส้นประสาท และไขสันหลัง หากเกิดความเสียหายที่ระบบประสาทจะทำให้การทำงานเส้นประสาทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการเริ่มและการควบคุมการกลืนมีปัญหาจนทำให้เกิดภาวะกลืนลำบากขึ้น
โดยตัวอย่างสาเหตุทางระบบประสาทมีดังนี้:
ภาวะทางประสาทที่ทำให้สมองและระบบประสาทเสียหายไปตามกาลเวลา
- เช่นโรคพากินสัน (Parkinson's disease)
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (multiple sclerosis) และ motor neurone disease
- เนื้องอกในสมอง
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (myasthenia gravis)
โรคที่เป็นมาแต่กำเนิด และภาวะด้านพัฒนาการ
ภาวะที่เป็นมาตั้งแต่เกิด หรือภาวะด้านพัฒนาการต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการกลืนลำบากมีดังนี้: ความบกพร่องด้านการเรียนรู้: ที่ซึ่งผู้ป่วยทำความเข้าใจ เรียนรู้ และสื่อสารกับผู้อื่นลำบาก โรคสมองพิการ (cerebral palsy): กลุ่มของภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและการประสานงานของอวัยวะ โรคปากแหว่งเพดานโหว่ (a cleft lip and palate): ความผิดปรกติแต่กำเนิดที่ทำให้เกิดช่องแยกบนริมฝีปากบนหรือบนเพดานปาก
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ภาวะอุดตัน
ภาวะที่ทำให้เกิดการอุดตันในลำคอ หรือการตีบแคบของหลอดอาหารมีดังนี้:
มะเร็งปาก หรือมะเร็งลำคอ เช่นมะเร็งหลอดอาหาร หรือมะเร็งหลอดอาหารส่วนบน: เมื่อคุณหายจากมะเร็งเหล่านี้ จะไม่เกิดการอุดตันขึ้นอีก
ภาวะกระเปาะในหลอดอาหารส่วนบน (Zenker diverticulum): ที่ซึ่งบนหลอดอาหารส่วนบนมีถุงขนาดใหญ่เกิดขึ้นจนลดความสามารถในการกลืนอาหารแข็งและอาหารเหลว เป็นภาวะหายากที่มักเกิดกับผู้สูงอายุ
โรคหลอดอาหารอักเสบจากเม็ดเลือดขาวอิโอซิโนฟิล (eosinophilic oesophagitis): ภาวะที่มีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า eosinophil เข้าไปสะสมบนผนังเยื่อบุหลอดอาหารจนก่อปฏิกิริยากับอาหาร ทำให้เกิดภาวะภูมิแพ้ หรือกรดไหลย้อนขึ้น การสะสมของเม็ดเลือดขาวนี้จะทำลายเยื่อบุหลอดอาหารและทำให้เกิดภาวะกลืนลำบากขึ้น
การบำบัดด้วยรังสี (radiotherapy): กระบวนการนี้จะทำให้เนื้อเยื่อเป็นแผลจนทำให้ลำคอและหลอดอาหารตีบแคบลง
โรคกรดไหลย้อน (gastro-oesophageal reflux disease - GORD): กรดในกระเพาะอาหารสามารถทำให้เนื้อเยื่อคอเป็นแผลและทำให้หลอดอาหารตีบแคบลงได้
การติดเชื้อ เช่นวัณโรค (tuberculosis) หรือเชื้อราในช่องปาก (thrush): ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหารขึ้น (ภาวะหลอดอาหารอักเสบ หรือ oesophagitis)
ภาวะของกล้ามเนื้อ
ภาวะที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ดันอาหารลงไปตามหลอดอาหารสู่กระเพาะอาหารก็สามารถทำให้เกิดภาวะกลืนลำบากได้เช่นกัน แต่ก็นับว่าภาวะเหล่านั้นหายากมาก โดยมีอยู่ 2 ภาวะดังนี้:
Scleroderma: ภาวะที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อดีจนทำให้กล้ามเนื้อลำคอและหลอดอาหารเกิดการแข็งตัว
Achalasia: ภาวะที่ทำให้กล้ามเนื้อภายในหลอดอาหารสูญเสียความสามารถในการคลายและเปิดตัว
สาเหตุอื่น ๆ
เมื่อคุณแก่ตัวลง กล้ามเนื้อที่ใช้กลืนอาหารจะอ่อนแอลงจนทำให้ภาวะกลืนลำบากเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุจำนวนมาก กระนั้นก็มีการรักษาที่มีสามารถช่วยผู้ที่ประสบกับภาวะกลืนลำบากจากวัยอยู่
โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease - COPD) คือภาวะต่าง ๆ ที่ปอด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจเข้าออกลำบาก ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการกลืนลำบากตามมา
ภาวะกลืนลำบากยังสามารถเกิดเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดศีรษะและคอได้อีกด้วย
การวินิจฉัยภาวะกลืนลำบาก
ควรไปพบแพทย์เมื่อคุณมีอาการกลืนลำบากเพื่อรับการประเมินขั้นต้น และเข้ารับการทดสอบเพิ่มเติมพร้อมกับการรักษาตามความจำเป็น
การทดสอบจะมีขึ้นเพื่อบ่งชี้สาเหตุของภาวะนี้ว่าเกิดที่ปากหรือคอ ("high" dysphagia) หรือที่หลอดอาหารของคุณ ("low" dysphagia)
การวินิจฉัยประเภทของภาวะกลืนลำบากจะช่วยให้แพทย์จัดการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ลง เช่นการสำลัก หรือโลหิตจาง
โดยแพทย์ของคุณอาจจะต้องการทราบถึง: ระยะเวลาที่คุณประสบภาวะกลืนลำบาก คุณมีอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือทรุดลงหรือไม่ ภาวะนี้ส่งผลต่อความสามารถในการกินอาหารแข็ง อาหารเหลว หรือทั้งสองอย่างหรือไม่ คุณมีน้ำหนักลดลงหรือไม่
การเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ
ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่คาดการณ์ไว้ คุณอาจต้องเข้าพบ: ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหู จมูก และลำคอ (ear , nose and throat specialist - ENT) นักบำบัดการพูดและภาษา (speech and language therapist -SLT) นักประสาทวิทยา (neurologist): ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะที่เกิดกับสมอง เส้นประสาท และไขสันหลัง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร (gastroenterologist): ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ อายุรแพทย์ (geriatrician): ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
ประเภทของการทดสอบที่คุณอาจได้รับมีดังต่อไปนี้
การทดสอบการกลืนน้ำ
การทดสอบการกลืนน้ำมักดำเนินการโดยนักบำบัดด้านการพูดและภาษา โดยมักจะเป็นการประเมินขั้นแรกถึงเรื่องความสามารถในการกลืนของคุณที่มีประโยชน์มาก คุณจะได้รับน้ำ 150ml มาดื่มอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
เวลาที่คุณดื่มน้ำทั้งหมดและจำนวนการกลืนจะถูกบันทึกไว้ โดยคุณอาจต้องทำการกลืนพุดดิ้งหรือผลไม้นิ่ม ๆ ขนาดเล็กเข้าไปด้วย
Videofluoroscopy
Videofluoroscopy คือการกลืนสารแบเรียม (barium) เข้าไปเพื่อทำการประเมินความสามารถในการกลืนและเพื่อชี้ตำแหน่งของปัญหา
จะมีการใช้เครื่องเอกซเรย์การเคลื่อนไหวทั้งหมดจนทำให้แพทย์สามารถระบุถึงปัญหาได้อย่างละเอียดมาก
คุณต้องทำการกลืนอาหารหรือเครื่องดื่มที่ผสมสารแบเรียมลงไปเพื่อให้ภาพที่ได้จากการเอกซเรย์ชัดเจนมากขึ้น
กระบวนการ Videofluoroscopy มักใช้เวลานานประมาณ 30 นาที คุณอาจรู้สึกคลื่นไส้หลังการทดสอบ สารแบเรียมอาจทำให้คุณท้องผูกและยังทำให้อุจจาระของคุณมีสีขาวเป็นเวลาไม่กี่วัน กระนั้นแบเรียมก็ไม่นับเป็นสารพิษอันตรายแต่อย่างใด
Nasoendoscopy
Nasoendoscopy หรือที่เรียกว่า fibreoptic endoscopic evaluation of swallowing (FEES) เป็นกระบวนการตรวจสอบจมูกและหลอดลมอย่างใกล้ชิดที่ใช้ท่อขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นสอดเข้าร่างกาย (endoscope)
ท่อ endoscope จะถูกผ่านจมูกเพื่อให้แพทย์เห็นภาพภายในลำคอและหลอดลมส่วนบนของคุณ ท่อดังกล่าวจะมีไฟฉายและกล้องติดอยู่ที่ปลายเพื่อเก็บภาพของลำคอออกมาบนหน้าจอ โดยวิธีการนี้จะทำให้มองเห็นการตีบตันหรือตำแหน่งที่มีปัญหาได้อย่างชัดเจน
FEES สามารถใช้เพื่อทดสอบหาภาวะกลืนลำบากจากหลอดอาหารส่วนบนได้ด้วยการให้คุณดื่มของเหลวสำหรับทดสอบเข้าไป (มักจะเป็นน้ำเติมสี หรือนม)
ก่อนเข้ารับการทดสอบนี้ คุณจะได้รับยาชาเฉพาะที่ในรูปของสเปรย์เข้าไปในจมูกของคุณ
กระบวนการนี้นับเป็นการทดสอบที่ปลอดภัยและใช้เวลาดำเนินการไม่นาน
Manometry และการสังเกตค่า pH ตลอด 24 ชั่วโมง
Manometry คือกระบวนการที่ใช้ประเมินการทำงานของหลอดอาหาร โดยเป็นการสอดสายสวน (catheter) ที่มีตัวเซนเซอร์ทางจมูกเข้าไปยังหลอดอาหารเพื่อวัดค่าการทำงานของหลอดอาหาร
การทดสอบนี้จะวัดแรงกดภายในหลอดอาหารขณะการกลืน ซึ่งจะช่วยบ่งชี้ระดับการทำงานของหลอดอาหาร
ส่วนการสังเกตค่า pH 24 ชั่วโมงจะเป็นการสอดท่อเข้าไปยังหลอดอาหารทางจมูกเพื่อวัดปริมาณกรดที่ไหลย้อนออกมาจากกระเพาะอาหาร วิธีการนี้จะช่วยบ่งชี้สาเหตุการเกิดภาวะกลืนลำบากได้
Diagnostic gastroscopy
Diagnostic gastroscopy หรือการส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น (oesophagogastroduodenoscopy - OGD) คือกระบวนการที่ใช้ตรวจสอบระบบทางเดินอาหารภายในด้วยกล้อง endoscope
กล้อง endoscope จะถูกสอดผ่านลำคอของคุณลงไปยังหลอดอาหาร และภาพภายในจะถูกส่งกลับมาบนหน้าจอโทรทัศน์ วิธีการนี้มักจะใช้เพื่อการตรวจหาบาดแผลที่เนื้อเยื่อและการเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย
การประเมินทางโภชนาการ
หากภาวะกลืนลำบากส่งผลต่อความสามารถในการกินของคุณ คุณอาจต้องเข้ารับการประเมินทางโภชนาการเพื่อตรวจสอบว่าคุณไม่ได้ขาดสารอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นการทดสอบด้วย: การชั่งน้ำหนัก การคำนวณดัชนีมวลกาย (body mass index - BMI) เพื่อวัดว่าคุณมีน้ำหนักที่สอดคล้องกับส่วนสูงหรือไม่ การตรวจเลือด
การรักษาภาวะกลืนลำบาก
ปัญหาการกลืนลำบากส่วนมากจะสามารถรักษาให้หายได้ กระนั้นแนวทางการรักษาที่คุณได้รับจะแตกต่างไปตามประเภทของภาวะที่คุณประสบ
การรักษาจะขึ้นอยู่กับว่าปัญหาการกลืนของคุณมาจากลำคอหรือปาก
ภาวะนี้จะทำการรักษายากหากเกิดจากภาวะที่ส่งผลต่อระบบประสาท เนื่องจากว่าปัญหาเหล่านั้นมักไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ยาหรือแม้แต่การผ่าตัด
การรักษาภาวะกลืนลำบากส่วนบน (high dysphagia) มีอยู่ 3 ประเภทหลักดังนี้: การบำบัดการกลืน การปรับเปลี่ยนอาหารการกิน การป้อนอาหารผ่านท่อ
การบำบัดการกลืน
คุณอาจถูกส่งตัวไปพบนักบำบัดด้านการพูดและภาษา (speech and language therapist - SLT) เพื่อเข้ารับการบำบัดการกลืนหากคุณมีภาวะกลืนลำบากส่วนบน
โดย SLT เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการให้อาหารหรือปัญหาการกลืน
SLT สามารถใช้เทคนิคมากมายที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะทางต่าง ๆ อย่างเช่นการฝึกสอนวิธีการกลืนใหม่แก่คนไข้ เป็นต้น
การปรับเปลี่ยนอาหารการกิน
คุณอาจถูกส่งตัวไปพบนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนอาหารที่คุณรับประทานโดยคงสารอาหารที่คุณควรได้รับในแต่ละวันให้อยู่ในระดับสมดุล
ผู้เชี่ยวชาญต่างสามารถให้คำแนะนำเรื่องการจัดหาอาหารอ่อนและของเหลวข้น ๆ ที่ทำให้คุณกลืนได้ง่ายขึ้น และยังคอยช่วยเหลือจัดเวลาการรับประทานให้ตรงตามความจำเป็นของคุณ
การป้อนอาหารผ่านท่อ
การป้อนอาหารผ่านท่อส่งจะทำให้คุณได้รับสารอาหารไประหว่างที่คุณฟื้นฟูความสามารถในการกลืนของตนเอง วิธีการนี้จะจัดให้กับผู้ป่วยภาวะกลืนลำบากชนิดรุนแรงที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ
การป้อนอาหารวิธีนี้ทำให้คุณได้รับยาสำหรับภาวะอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยสายท่อที่ใช้สำหรับป้อนนั้นมีอยู่ 2 ประเภท:
สายสวนจมูกผ่านระบบทางเดินอาหาร (nasogastric tube): ท่อที่สอดผ่านจมูกลงไปยังกระเพาะอาหาร
สายต่อเข้ากระเพาะอาหาร (percutaneous endoscopic gastrostomy - PEG): ท่อที่จะถูกฝังเข้าไปในกระเพาะอาหารโดยตรง
สายสวนจมูกจะถูกจัดให้ใช้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ โดยจะมีการเปลี่ยนสาย และสลับการสอดเข้าไปยังรูจมูกอีกข้างหลังจากสอดติดต่อกันเป็นช่วงเวลาหนึ่งเดือน ท่อ PEG ถูกออกแบบมาให้ใช้ในระยะเวลายาวนาน และสามารถใช้ซ้ำได้หลายเดือนกว่าจะต้องทำการเปลี่ยนท่อใหม่
ผู้ป่วยภาวะกลืนลำบากส่วนมากจะเลือกใช้ท่อ PEG เพราะสายท่อสามารถซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าได้ อย่างไรก็ตามก็เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากกว่าท่ออีกประเภท
ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรงจากการใช้สายสวน PEG คือท่อลงผิดที่ การติดเชื้อที่ผิวหนัง และท่อรั่วหรือตัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงจากการใช้สายสวน PEG คือภาวะติดเชื้อ และภาวะเลือดออกภายใน
อีกทั้งการกลับไปรับประทานอาหารตามปรกติจะทำได้ยากกว่าผู้ที่ใช้วิธีเจาะท่อเข้ากระเพาะอาหารโดยตรง เนื่องจากความสะดวกสบายของท่อ PEG ทำให้ผู้ใช้งานส่วนมากมีความรู้สึกอยากที่จะเคี้ยวกับกลืนอาหารน้อยลง และยังทำให้พวกเขามีการบริหารการกลืนและการปรับเปลี่ยนอาหารการกินน้อยกว่านั่นเอง
คุณควรปรึกษาข้อดีและข้อเสียของการสอดท่อทั้งสองประเภทกับทีมรักษาของคุณก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง
ภาวะกลืนลำบากส่วนล่าง
ภาวะกลืนอาหารลำบากส่วนล่าง (Low dysphagia) เป็นปัญหาการกลืนที่เกิดจากปัญหาที่หลอดอาหาร
การใช้ยา
คุณอาจจะสามารถใช้ยารักษาภาวะกลืนอาหารลำบากส่วนล่างได้ขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะ ยกตัวอย่างเช่นการใช้ยา proton pump inhibitors (PPIs) สำหรับอาการอาหารไม่ย่อยอาจช่วยให้อาการดีขึ้น
สารพิษบูโทลินั่ม
สารพิษบูโทลินั่ม (Botulinum toxin) สามารถนำมาใช้กับ achalasia ได้ ซึ่ง achalasia คือภาวะที่เกิดจากการที่กล้ามเนื้อในหลอดอาหารเกิดการแข็งตัวจนทำให้ของเหลวไม่สามารถไปถึงกระเพาะอาหารได้
สารชนิดนี้ใช้เพื่อทำให้กล้ามเนื้อชาและตึงตัวขึ้นเพื่อป้องกันอาหารไปถึงกระเพาะอาหาร โดยผลของสารอาจคงอยู่ได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น
การผ่าตัด
ภาวะกลืนอาหารลำบากส่วนล่างบางกรณีมักสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
Endoscopic dilatation
Endoscopic dilatation คือหัตถกรรมรักษาภาวะกลืนลำบากจากการอุดตัน และยังสามารถดำเนินการเพื่อยืดหลอดอาหารออกในกรณีที่เกิดบาดแผลขึ้น
Endoscopic dilatation จะดำเนินการไปพร้อมกับการตรวจหลอดอาหารของคุณด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหาร
กล้อง endoscope จะถูกสอดผ่านลำคอไปยังหลอดอาหาร และภาพภายในร่างกายจะถูกส่งขึ้นหน้าจอที่อยู่ภายนอก
ด้วยการใช้ภาพที่ได้เป็นตัวชี้ทาง จะมีการสอดบอลลูนเข้าไปยังตำแหน่งที่เกิดการตีบแคบเพื่อทำการขยายออก หากมีการใช้บอลลูน แพทย์จะทำให้บอลลูนพองตัวออกขยายหลอดอาหารก่อนทำให้แฟ่บลงเพื่อนำบอลลูนออกมา
คุณอาจจะได้รับยาระงับประสาทชนิดอ่อนก่อนดำเนินการเพื่อช่วยให้คุณผ่อนคลายขึ้น โดยความเสี่ยงจากหัตถกรรมนี้คือการฉีกขาดหรือทะลุของหลอดอาหาร (มีน้อยมาก)
การสอดท่อโลหะ
หากคุณเป็นมะเร็งหลอดอาหารที่ไม่สามารถรักษาได้ แพทย์มักจะแนะนำให้คุณเข้ารับการผ่าตัดสอดท่อโลหะแทน Endoscopic dilatation เพราะว่าผู้ป่วยมะเร็งจะมีความเสี่ยงต่อการฉีกขาดของหลอดอาหารสูงมากหากมีการยืดออก
ท่อโลหะที่สอดเข้าหลอดอาหารจะถูกนำทางโดยการเอกซเรย์ โดยท่อโลหะจะค่อย ๆ ขยายตัวออกเพื่อเปิดช่องทางให้อาหารไหลผ่านได้ คุณต้องทานอาหารบางประเภทเพื่อช่วยให้ท่อโลหะเปิดอยู่ต่อไปโดยไม่เกิดการอุดตันขึ้นมา
ภาวะกลืนลำบากที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด
หากลูกของคุณเกิดมาพร้อมปัญหาการกลืนลำบาก การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะนี้
โรคสมองพิการ
ภาวะกลืนลำบากที่มาจากโรคสมองพิการ (Cerebral palsy) สามารถรักษาได้ด้วยการบำบัดการพูดและภาษา ลูกของคุณจะถูกฝึกวิธีการกลืน วิธีปรับตัวกับประเภทอาหารที่ทานเข้าไป และวิธีการใช้สายป้อนอาหาร
โรคปากแหว่งเพดานโหว่
โรคปากแหว่งเพดานโหว่ (Cleft lip and palate) เป็นภาวะผิดปรกติแต่กำเนิดที่ทำให้เกิดอาการกลืนลำบากเช่นกัน มักรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
ภาวะหลอดอาหารตีบแคบ
การตีบแคบของหลอดอาหารสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดที่ใช้ขยายหลอดอาหารที่เรียกว่า dilatation
โรคกรดไหลย้อน
ภาวะกลืนลำบากที่มาจากโรคกรดไหลย้อน (Gastro-oesophageal reflux disease - GORD) สามารถรักษาได้ด้วยการทานอาหารข้น ๆ ชนิดพิเศษแทนการดื่มน้ำนมมารดาหรือนมชง บางครั้งอาจมีการใช้ยาร่วมด้วย
การให้นมหรือขวดน้ำแก่เด็ก
หากคุณหรือลูกของคุณมีปัญหาการดื่มนมจากขวดหรือไม่สามารถให้นมจากเต้าได้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผดุงครรภ์หรือแพทย์ทั่วไปเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะกลืนลำบาก
ภาวะกลืนลำบากอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ตามมา โดยปัญหาที่พบได้จากภาวะนี้คือการไอหรือสำลักเมื่ออาหารลงผิดทางและเข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจของคุณ
หากเกิดอาการไอหรือสำลักบ่อยครั้ง คุณอาจจะเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเนื่องจากความกลัวและทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition) และภาวะขาดน้ำ (dehydration) ในที่สุด
ผู้ป่วยภาวะกลืนลำบากบางรายอาจมีแนวโน้มเกิดภาวะติดเชื้อในอกอย่างภาวะปอดบวมจากการหายใจ (aspiration pneumonia) ซึ่งเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ในทันที
ภาวะกลืนลำบากยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคุณอย่างมากเพราะทำให้คุณหมดสนุกกับการกิน ซึ่งทำให้คุณไม่อยากไปเข้าร่วมสังคมหรือพบปะเพื่อนฝูง
การไอและสำลัก
หากคุณประสบกับอาการกลืนลำบาก จะมีความเสี่ยงที่อาหารหรือน้ำลงผิดทางจนเข้าไปอุดตันทางเดินอากาศ ทำให้คุณหายใจติดขัด และทำให้คุณสำลักหรือไอออกมา
หากคุณเป็นภาวะนี้ คุณอาจเริ่มมีอาการกลัวการสำลักขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่ควรทำคือการรับประทานอาหารและน้ำตามปรกติ ห้ามหยุดห้ามงดเด็ดขาดเพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำและทุพโภชนาการ
หากคุณสำลักอาหารบ่อยครั้ง คุณอาจจะมีความเสี่ยงต่อโรคปอดบวมจากการหายใจได้ (aspiration pneumonia)
โรคปอดบวมจากการหายใจ
โรคปอดบวมจากการหายใจ (aspiration pneumonia) คือภาวะติดเชื้อในอกที่เกิดขึ้นหลังจากการสูดบางสิ่งเข้าไปในปอดโดยไม่ตั้งใจจนเกิดความระคายเคือง เช่นเศษอาหาร หรือแม้แต่สร้างความเสียหายกับปอดขึ้นมา สำหรับผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อภาวะปอดบวมจากการหายใจมากขึ้นเป็นพิเศษ
อาการของโรคปอดบวมจากการหายใจมีดังนี้: ไอ: อาจเป็นได้ทั้งการไอแห้ง หรือไอมีเสมหะสีเหลือง เขียว น้ำตาล หรือปนเลือด มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส เจ็บหน้าอก หายใจติดขัด: การหายใจของคุณอาจจะกลายเป็นช่วงสั้น ๆ ถี่ หรืออาจจะรู้สึกหายใจไม่ออกแม้จะพักผ่อนอยู่ก็ตาม
ให้รีบติดต่อแพทย์ทันทีที่คุณกำลังรักษาภาวะกลืนลำบากอยู่และเริ่มมีอาการข้างต้น
อาการของโรคปอดบวมจากการหายใจมีหลายระดับตั้งแต่เบาบางมากจนถึงรุนแรง แต่ทั้งหมดสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ สำหรับกรณีที่เป็นรุนแรงจะต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อรับยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือด (ผ่าตัวหยดยา)
สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ จะมีโอกาสที่การติดเชื้อทำให้ของเหลวท่วมปอดซึ่งจะหยุดการทำงานของปอดได้ ภาวะเช่นนี้เรียกว่ากลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome - ARDS)
โอกาสที่คุณจะเป็นโรคปอดบวมจากภาวะกลืนลำบากจะสูงมากขึ้นหากคุณมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เช่นเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือคุณมีสุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดี
ภาวะกลืนลำบากในเด็ก
หากเด็กประสบกับภาวะกลืนลำบากเป็นเวลานานไม่ได้รับประทานอาหารที่สมดุลเพียงพอ พวกเขาจะไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ
เด็กที่มีปัญหาการรับประทานเช่นนี้อาจมีความรู้สึกว่าการรับประทานอาหารเป็นเรื่องเครียด ซึ่งยังนำไปสู่ปัญหาด้านพฤติกรรมตามมาเช่นกัน