โรคไอครูป (Croup) คือภาวะป่วยสำหรับเด็กที่ส่งผลต่อหลอดลมใหญ่ (trachea) หลอดลมของปอด (bronchi) และกล่องเสียง (larynx)
เด็กที่ป่วยเป็นโรคไอครูปจะมีอาการไอเสียงเห่าที่เป็นเอกลักษณ์ มีเสียงห้าวขณะหายใจเข้า (stridor) อีกทั้งยังทำให้เสียงแหบและหายใจลำบากเนื่องจากการปิดกั้นของทางเดินอากาศ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
โรคครูปสามารถวินิจฉัยได้โดยแพทย์และสามารถรักษาได้เองที่บ้าน อย่างไรก็ตามหากเด็กป่วยด้วยอาการรุนแรงและทำให้หายใจลำบากมากอาจต้องพาพวกเขาไปโรงพยาบาล
ไอครูปเกิดมาจากสาเหตุอะไร?
โดยทั่วไปแล้วโรคครูปจะมาจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีเชื้อที่สามารถทำให้เกิดโรคนี้หลายประเภท แต่ที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือไวรัส parainfluenza
ไอครูปเกิดขึ้นกับใครได้บ้าง?
โรคไอครูปมักจะเกิดกับเด็กเล็กที่มีอายุระหว่างหกเดือนถึงสามปี โดยส่วนมากจะเป็นเด็กที่มีอายุหนึ่งปี
กระนั้นโรคไอครูปสามารถเกิดกับทารกที่อายุน้อยกว่าสามเดือนกับเด็กที่มีอายุมากถึง 15 ปีได้ ผู้ใหญ่เองก็สามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้เช่นกันแต่นับว่าหายากมาก
ภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อยในฤดูหนาว และมักจะเกิดกับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง โดยเด็กหนึ่งคนสามารถป่วยเป็นโรคไอครูปได้มากกว่าหนึ่งครั้ง
การรักษาโรคไอครูป
กรณีผู้ป่วยโรคไอครูปส่วนมากจะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถฟื้นตัวได้เองที่บ้าน สำหรับเด็กเล็กควรจัดให้พวกเขานั่งตัวตรงและคอยปลอบประโลมพวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขาร้องไห้ เนื่องจากว่าการร้องไห้จะทำให้อาการแย่ลง อีกทั้งควรดูแลให้พวกเขาดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
สามารถใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทานที่เรียกว่าเดซาเมทาโซน หรือเพรดนิโซโลน (dexamethasone หรือ prednisolone) เพื่อลดอาการบวมในลำคอได้
หากลูกของคุณมีปัญหาการหายใจ ควรพาพวกเขาไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับอะดรีนาลีนและให้ออกซิเจนผ่านทางหน้ากาก
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไอครูป
โรคไอครูปส่วนมากจะหายไปเองภายใน 48 ชั่วโมง แต่ก็มีบางกรณีที่อาการต่าง ๆ คงอยู่ยาวนานกว่าสองสัปดาห์
การเสียชีวิตจากโรคไอครูปนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ
มีภาวะมากมายที่อาจจะเกิดขึ้นจากโรคไอครูป เช่นภาวะปอดบวม และการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง
ทางเดินหายใจปิดกั้น
หากภาวะทางเดินอากาศถูกปิดกั้นไม่ได้รับการแก้ไข ภาวะนี้จะนำไปสู่: อาการหายใจลำบากรุนแรง ภาวะระบบหายใจล้มเหลว (ที่ซึ่งการหายใจหยุดลงแต่หัวใจยังคงเต้นอยู่)
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ให้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลทันทีที่ลูกของคุณเริ่มหายใจลำบากมากขึ้น
ลูกของคุณอาจทำการดื่มของเหลวได้ยากขึ้นเนื่องจากการปิดกั้นของหลอดลม กระนั้นคุณก็ควรดูแลให้พวกเขาได้รับน้ำมาก ๆ เพื่อเลี่ยงภาวะขาดน้ำ
หากลูกของคุณไม่ยอมดื่มน้ำ พยายามอย่าไปฝืนพวกเขาเพราะอาจทำให้เด็กเครียดจนทำให้ภาวะนี้ทรุดลงได้
การติดเชื้อทุติยภูมิ
การติดเชื้อทุติยภูมิ (secondary infection) สามารถเกิดขึ้นตามหลังการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไอครูปครั้งแรกได้ ภาวะนี้อาจทำให้เกิด: โรคปอดบวม: การติดเชื้อภายในอกที่ทำให้เนื้อเยื่อของปอดข้างหนึ่งหรือสองข้างบวมขึ้น หลอดลมใหญ่ติดเชื้อแบคทีเรีย: เป็นภาวะติดเชื้ออันตรายถึงชีวิตที่อาจเกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไวรัสที่ระบบหายใจ
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากโรคไอครูปนั้นมีทั้งการติดเชื้อของหูชั้นกลาง และภาวะต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (lymphadenitis) เป็นต้น
การป้องกันโรคไอครูป
โรคไอครูปแพร่กระจายคล้ายกับไข้หวัด ดังนั้นจึงทำการป้องกันโรคนี้ได้ยาก
การรักษาความสะอาดเบื้องต้นเป็นวิธีป้องกันโรคไอครูปที่ดีที่สุด อย่างเช่นการล้างมือและทำความสะอาดพื้นผิวสิ่งของบ่อย ๆ
MMR: หรือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และหัดเยอรมัน
DT aP/IPV/Hib: การฉีดป้องกันโรคคอตีบ (diphtheria) โรคบาดทะยัก โรคไอกรน โปลิโอ และโรคฮิป (Haemophilus influenzae type b)
อาการของโรคไอครูป
เด็กสามารถติดเชื้อโรคครูปจากช่วงเวลาใดของปีก็ได้ กระนั้นภาวะนี้ก็มักจะพบบ่อยระหว่างช่วงฤดูหนาว เนื่องมาจากว่าเชื้อไวรัสหลายประเภท อย่างเชื้อโรคไข้หวัดจะอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวมากที่สุด
อาการทั่วไปของโรคไอครูปมีดังนี้: ไอเสียงคล้ายสุนัขเห่า เสียงแตกหรือแหบแห้ง หายใจลำบาก เสียงฮี้ดขณะหายใจเข้า (stridor)
เสียง stridor มักจะสังเกตได้ง่ายขึ้นขณะที่เด็กร้องไห้หรือไอ แต่สำหรับกรณีที่เป็นโรคไอครูปรุนแรงอาจจะเกิดขึ้นขณะที่พวกเขานอนหลับก็ได้
อาการเหล่านี้มักจะทรุดลงในช่วงกลางคืน
เด็กบางคนจะมีอาการคล้ายหวัดเป็นเวลาก่อนเริ่มมีอาการของโรคไอครูปไม่กี่วัน
อาการคล้ายหวัดมีดังต่อไปนี้: เจ็บคอ ไอ คัดจมูก มีไข้สูง
แม้ว่าอาการของโรคไอครูปสามารถคงอยู่ได้ไม่กี่วัน โรคนี้ก็มีโอกาสเป็นยาวนานได้ถึงสองสัปดาห์เช่นกัน
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไอครูปได้ และสำหรับกรณีที่เป็นไม่รุนแรงก็สามารถรักษาได้เองที่บ้าน
คุณควรไปพบแพทย์เมื่อลูกของคุณเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้: หายใจลำบากรุนแรง ความถี่ในการหายใจมีมากขึ้น หรือไม่มีเสียงขณะหายใจ อาการไอหรืออาการ stridor รุนแรงขึ้น ฉุนเฉียวหรือซึม ผิวคล้ำหรือซีดลง ผิวหนังรอบกระดูกซี่โครงและหน้าอกแน่นขึ้นหรือถูกดึงเข้าไปข้างในจนทำให้กระดูกหน้าอกและซี่โครงชัดเจนขึ้น มีไข้สูงมาก หัวใจเต้นเร็วหรือตกลงมาก ไม่สามารถดื่มของเหลวได้
อาการดังที่กล่าวไปอาจบ่งชี้ถึงภาวะต้นตอที่ร้ายแรงถึงชีวิตที่เรียกว่าภาวะฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ (epiglottitis)
อาการเหล่านี้ยังสามารถบ่งชี้ได้ถึงภาวะหลอดลมใหญ่อักเสบ (tracheitis) ที่ต้องรีบเข้ารับการรักษากับแพทย์ได้อีกเช่นกัน
สาเหตุของโรคไอครูป
โรคไอครูปมักจะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้กล่องเสียงบวม กับหลอดลมใหญ่เกิดการอุดกั้น และอาจส่งผลกับท่อภายในปอด (bronchi)
ไวรัส Parainfluenza
ไวรัส Parainfluenza เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไอครูปที่พบได้บ่อยที่สุด เชื้อไวรัสประเภทนี้มีอยู่สี่ประเภทดังนี้: Parainfluenza I Parainfluenza II Parainfluenza III Parainfluenza IV
เชื้อไวรัสสามารถส่งผ่านหากันได้ด้วยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ และเช่นเดียวกันกับไวรัสที่แพร่กระจายทางอากาศ Parainfluenza เองก็สามารถแพร่กระจายจากฝอยละอองของสารคัดหลั่งที่ออกมาจากการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อเช่นกัน
ไวรัสอื่นๆ
มีไวรัสหลายประเภทที่ทำให้เกิดโรคไอครูปขึ้น ดังนี้: influenza A และ B (ไวรัสไข้หวัดใหญ่) ไวรัสโรคหัด มักจะเกิดกับเด็กที่ยังไม่ได้รับภูมิต้านทานโรคหัด ไรโนไวรัส (ไวรัสโรคไข้หวัดทั่วไป) เอนเทอโรไวรัส respiratory syncytial virus (RVS) ที่ทำให้เกิดปัญหาการหายใจรุนแรงและโรคปอดบวมในเด็กทารก
สาเหตุอื่นๆ
สาเหตุที่พบได้ไม่บ่อยของโรคไอครูปมีดังนี้:
- การสูดหายใจนำสิ่งของขนาดเล็กอย่างเช่นเม็ดถั่ว หรือปลอกปากกาเข้าไป
- ภาวะฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ (epiglottitis): การอักเสบของฝาปิดกล่องเสียง (แผ่นเปิดปิดที่อยู่ที่ฐานของลิ้น มีหน้าที่กันอาหารไม่ให้เข้าไปในหลอดลม)
- ปฏิกิริยาแพ้ที่มีต่อสารต่าง ๆ อย่างเกสรดอกไม้ หรือไรฝุ่น
- การสูดดมสารก่อความระคายเคือง อย่างเช่นสารเคมี เป็นต้น
- การรั่วไหลย้อนขึ้นมาของกรดในกระเพาะอาหารสู่ลำคอ (ภาวะกรดไหลย้อน)
การวินิจฉัยโรคไอครูป
แพทย์มักจะสามารถวินิจฉัยโรคไอครูปได้จากการสังเกตอาการของเด็กได้จากเสียงของการไอของพวกเขา และอาจมีการตรวจสอบอุณหภูมิค่างกายเพื่อหาไข้และตรวจสอบว่าเคยประสบกับภาวะติดเชื้อไวรัสหรือไข้หวัดมาก่อนหรือไม่
ในบางกรณีอาจมีการตรวจวัดชีพจรที่นิ้วมือด้วย ซึ่งจะมีการใช้ตัวตรวจจับหนีบลงบนติ่งหูหรือนิ้วมือของเด็กเพื่อวัดระดับออกซิเจนในร่างกาย
การทดสอบนี้จะไม่สร้างความเจ็บปวดหรือความไม่สบายใจแก่เด็ก และมีไว้เพื่อตรวจดูว่าร่างกายของเด็กสามารถดูดซับออกซิเจนไปยังกระแสเลือดได้เพียงพอหรือไม่
แพทย์จะตัดสินใจว่าเด็กควรเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือสามารถกลับไปทำการรักษาที่บ้านได้เองอีกที
คุณไม่ควรตรวจลำคอของเด็กเองเพราะอาจจะไปกระตุ้นให้เกิดการตีบแคบของหลอดลมได้โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจทำให้หลอดลมบวมมากขึ้นจนทำให้อาการหายใจไม่ออกทรุดลงได้
การตรวจหาภาวะสุขภาพอื่น ๆ
โรคไอครูปมักจะสามารถวินิจฉัยได้ด้วยการสังเกตอาการของเด็ก แต่แพทย์อาจต้องทำการตรวจสอบหาสัญญาณของภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้มีอาการคล้ายคลึงกันไปด้วย
สาเหตุที่ทำให้เด็กมีอาการคล้ายกับโรคไอครูปมีดังนี้: ความผิดปรกติของหลอดลมที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด แผ่นที่เนื้อเยื่อหลังลำคอ การสูดสิ่งของเข้าไป การบวมของผิวหนังชั้นลึก (angio-oedema) ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ ภาวะหายใจลำบากที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด (congenital lesion) ปฏิกิริยาภูมิแพ้
สำหรับกรณีที่หายากมาก ๆ ภาวะอักเสบที่ฝาปิดกล่องเสียงหรือหลอดลมใหญ่อักเสบจะทำให้เกิดอาการคล้ายกับโรคไอครูป หากเป็นเช่นนี้เด็กจะรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวอย่างมากแทนที่จะมีอาการที่เจาะจงว่าเป็นโรคไอครูป
การตรวจสอบเพิ่มเติม
หากลูกของคุณต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเนื่องจากภาวะไอครูปรุนแรง หรือการรักษาที่ผ่านมาไม่ได้ผล จะมีการทดสอบเพิ่มเติมด้วยการตรวจสอบลำคอและหน้าอกเพื่อหาการอุดตัน
จะมีการถ่ายภาพเอกซเรย์ในกรณีที่คาดว่าลูกของคุณสูดหายใจนำบางสิ่งเข้าไปติดทางเดินอากาศ
การรักษาโรคไอครูป
การรักษาโรคไอครูปจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการต่าง ๆ กรณีส่วนมากจะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถควบคุมได้เองที่บ้าน
อย่างไรก็ตามหากลูกมีภาวะไอครูปรุนแรง พวกเขาต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
การรักษาที่บ้าน
หากแพทย์คาดว่าลูกของคุณเป็นโรคไอครูปไม่รุนแรง พวกเขาจะแนะนำสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถจัดการเองได้ที่บ้าน ซึ่งมักจะเป็นการใช้ยาพาราเซตตามอลที่บรรเทาอาการของโรค และช่วยลดไข้ในกรณีที่พวกเขามีไข้
คุณควรดูแลให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ ตลอดระยะเวลาที่ป่วย
พยายามปลอบให้พวกเขาสบายใจ เพราะว่าอาการต่าง ๆ จะทรุดลงหากพวกเขาฉุนเฉียวหรือร้องไห้ หากลูกของคุณซึม พยายามจับพวกเขามานั่งบนตักของคุณเพื่อช่วยทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น
แพทย์มักจะจ่ายยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เพียงโดสเดียวแก่คุณ (dexamethasone หรือ prednisolone) เพื่อช่วยลดอาการอักเสบภายในลำคอของเด็ก ผลข้างเคียงของยาประเภทนี้มีทั้งอยู่ไม่สุข อาเจียน ปวดท้อง และปวดศีรษะ
การรักษาด้วยไอน้ำจะไม่แนะนำให้กับเด็กที่ป่วยเป็นโรคไอครูป เพราะยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าการทำเช่นนี้จะช่วยทำให้เด็กมีอาการดีขึ้น
คุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่สังเกตว่าอาการของลูกคุณทรุดลง
ยาแก้ปวดสำหรับเด็ก
ยาแก้ปวดทั่วไปอย่างพาราเซตตามอลและอิบูโพรเฟนมีในรูปแบบของยาน้ำสำหรับเด็กอยู่ คุณสามารถหาซื้อยาเหล่านี้ได้จากร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อทั่วไป
เด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปีไม่ควรได้รับยาแอสไพริน
ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากว่าคุณไม่มั่นใจว่าควรใช้ยาแก้ปวดชนิดใดกับเด็ก
ห้ามใช้ยาแก้ไอหรือยาแก้คัดจมูกเนื่องจากยาเหล่านี้มักไม่ช่วยบรรเทาอาการของโรคครูป อีกทั้งการรักษาด้วยยาเหล่านี้อาจทำให้เด็กง่วงนอน ซึ่งจะเป็นอันตรายมากหากเด็กมีอาการหายใจลำบาก
การรักษาที่โรงพยาบาล
สำหรับกรณีที่เด็กป่วยจากโรคไอครูปรุนแรง ต้องพาพวกเขาไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลทันที
ปัญหาการหายใจอย่างหายใจติดขัด เป็นปัญหาหลักของโรคไอครูปรุนแรง คุณควรเรียกรถพยาบาลมารับทันทีที่เด็กเริ่มหายใจลำบากมาก ๆ
หากลูกของคุณป่วยเป็นไอครูปรุนแรง พวกเขาจะได้รับยาอะดรีนาลีนผ่านทางอุปกรณ์พ่นยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นภายใน 10 ถึง 30 นาที ซึ่งผลจากยาตัวนี้ควรจะคงอยู่ได้นานถึงสองชั่วโมง อุปกรณ์พ่นยาจะช่วยทำให้ยาถูกปล่อยออกมาในรูปแบบของหมอก
หากลูกของคุณมีอาการหายใจลำบาก แพทย์อาจจัดให้พวกเขาได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วยการสวมหน้ากากออกซิเจน
ยา dexamethasone หรือ prednisolone ก็สามารถใช้กับกรณีผู้ป่วยโรคไอครูปรุนแรงได้เช่นเดียวกัน
สำหรับกรณีหายากอาจทำให้เด็กที่ป่วยต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจ (intubation) ระหว่างการพักฟื้นนี้จะมีการสอดท่อผ่านรูจมูกหรือปากเข้าไปยังหลอดลมเพื่อช่วยให้เด็กหายใจง่ายขึ้น
การใส่ท่อช่วยหายใจมักจะดำเนินการด้วยการใช้ยาสลบพื่อทำให้เด็กหมดสติไปตลอดกระบวนการเพื่อให้พวกเขาไม่รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตัว