กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere's Disease)

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการได้ยิน อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคที่ร้ายแรงกว่า อย่างน้ำในหูไม่เท่ากัน
เผยแพร่ครั้งแรก 20 ก.พ. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 14 มี.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 7 นาที
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere's Disease)

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากความผิดปกติที่หูชั้นใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกบ้านหมุน หูอื้อ รู้สึกถึงแรงดันภายในหู
  • อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ยังมีวิธีบรรเทาอาการนี้ เช่น ใช้ยาบรรเทาอาการ เปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่ไม่มีเกลือ
  • เมื่ออาการน้ำในหูไม่เท่ากันกำเริบ จะทำให้มีผลการต่อการขับรถ ว่ายน้ำ และการทำงานกับเครื่องจักร ควรมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด
  • โรคน้ำในหูไม่เท่ากันทำให้มีความเสี่ยงของการเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคภูมิต้านตนเอง ไมเกรน และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • โรคน้ำในหูไม่เท่ากันแบ่งได้อีกหลายระยะ หากคุณมีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน แล้วรู้สึกว่ามีอาการรุนแรง หรือมีโรคอื่น ๆ แทรกซ้อน ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ที่นี่

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Ménière’s Disease) คือภาวะผิดปกติที่ส่งผลต่อหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน (Vertigo) หูอื้อ ได้ยินเสียงในหู (Tinnitus) หรือสูญเสียการได้ยิน รวมถึงรู้สึกถึงแรงดันภายในหูได้ สาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัดนักว่ามาจากอะไร การรักษาให้หายขาดยังไม่มี แต่มีคำแนะนำที่ช่วยให้ผู้ป่วยพอจะควบคุมอาการตัวเองได้บ้าง

อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันสามารถแบ่งออกเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะท้าย ซึ่งความเร็วที่โรคจะลุกลามสู่ระยะต่างๆ นั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โดยปกติแล้ว ผู้เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันมักประสบอาการของโรคข้างต้นบ่อยมากในช่วงปีแรกๆ จากนั้นจะลดความถี่ลง ร่วมกับสูญเสียการได้ยินหนักขึ้นเรื่อยๆ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • ระยะต้น : ผู้ป่วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันระยะแรกมักมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนแบบเฉียบพลัน คาดเดาไม่ได้ โดยมากมักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และวิงเวียนร่วมด้วย นอกจากนี้คุณอาจสูญเสียการได้ยินบางส่วนไประหว่างโรคกำเริบ และอาจมีอาการหูอื้อพร้อมกัน รวมถึงอาจรู้สึกว่าหูอุดตัน หรือมีแรงดันภายใน

    อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนอาจกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่นาที ไปจนยาวนานถึง 24 ชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่มักอยู่ที่ 2-3 ชั่วโมง (ผู้ป่วยบางรายมีความอ่อนไหวต่อเสียงมากขึ้นในขณะเวียนศีรษะบ้านหมุนด้วย) จากนั้นการได้ยินและความรู้สึกแน่นในหูจึงจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ
  • ระยะกลาง : ผู้ป่วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันระยะกลางจะเริ่มเกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนกำเริบแบบต่อเนื่อง แต่ความรุนแรงอาจน้อยลงในบางคน อย่างไรก็ตาม อาการหูอื้อและภาวะสูญเสียการได้ยินจะมีความรุนแรงมากขึ้น

    ในระยะนี้ คุณอาจมีช่วงโรคสงบ (Remission) หรือช่วงปลอดอาการต่างๆ นานหลายเดือนก็ได้ แต่บางคนก็อาจยังประสบกับอาการหูอื้อ อ่อนไหวต่อเสียง หรือทรงตัวไม่อยู่ระหว่างอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนกำเริบอยู่บ้าง
  • ระยะท้าย : ระหว่างช่วงระยะท้ายๆ ของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนจะเกิดขึ้นน้อยลง โดยอาจเว้นช่วงนานหลายเดือนหรือหลายปี อย่างไรก็ตามคุณอาจมีปัญหาการทรงตัวอยู่ และอาจมีความรู้สึกไม่มั่นคงที่เท้า โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่มืดได้ ส่วนปัญหาการได้ยินและอาการหูอื้อจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะนี้ จนอาจทำให้คุณมีปัญหาการทรงตัวและการได้ยินแบบถาวรได้

ผลกระทบจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคน้ำในหูสามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย เนื่องจากลักษณะอาการของโรคที่ไม่อาจคาดเดาการเกิดได้ และยังจำกัดให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมต่างๆ ได้ลดลง ผู้เป็นโรคนี้จึงมักเกิดภาวะวิตกกังวล (Anxiety) จนถึงเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า (Depression) ตามมา

ผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันมักจะเกิดกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 20-60 ปี และพบได้ในทั้งในผู้หญิงและผู้ชายพอๆ กัน

สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันมักเกิดจากความผิดปกติแรงดันและของเหลวภายในหู แต่เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตาม การที่ในครอบครัวมีประวัติว่าเป็นโรคนี้ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ ความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่

  • โรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmunity) : ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเข้าโจมตีเนื้อเยื่อและอวัยวะดีของร่างกาย
  • เกิดความไม่สมดุลทางเคมีในของเหลวของหูชั้นใน : เช่นมีโซเดียมหรือโพแทสเซียมในร่างกายมากหรือน้อยเกินไป
  • มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด : มีความเชื่อมโยงระหว่างโรคน้ำในหูไม่เท่ากันกับโรคไมเกรน (Migraines) ซึ่งเป็นโรคที่คาดว่าเกิดมาจากการตีบแคบและขยายใหญ่ขึ้นของหลอดเลือด
  • ภาวะติดเชื้อไวรัสบางประเภท : เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)

การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีการช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอาการของตนได้ ด้วยวิธีดังนี้

  • รับประทานยา
  • เปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหาร เช่น ให้รับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ
  • ฝึกฝนด้านการทรงตัว (Vestibular Rehabilitation)
  • ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย
  • เข้ารับการผ่าตัด สำหรับรายที่มีอาการรุนแรง

วิธีการวินิจฉัยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

ขณะนี้ยังไม่มีการทดสอบโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ทำให้การจำแนกภาวะนี้จากโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกันทำได้ยาก เช่น อาจสับสนกับโรคไมเกรนหรือภาวะติดเชื้อในหู เนื่องจากโรคเหล่านี้สามารถส่งผลต่อการได้ยินและสมดุลร่างกาย หรืออาจไปสับสนกับภาวะติดเชื้อที่ระบบประสาททรงตัว (Vestibular Neuronitis) หรือหูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) ที่ทำให้มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน เป็นต้น

หากเข้าสถานพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยโรค แพทย์จะขอให้คุณบรรยายอาการที่ประสบ เพื่อหารูปแบบอาการที่อาจบ่งชี้ถึงโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน โดยถามว่ามีอาการอะไรบ้าง และแต่ละอาการกินระยะเวลานานเท่าไร นอกจากนี้แพทย์ยังอาจดำเนินการตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น ฟังเสียงหัวใจ ตรวจความดันโลหิต และตรวจภายในหู

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

หากจำเป็น แพทย์อาจส่งคุณไปพบกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหู จมูก และลำคอ (ENT) เช่น

  • ประเมินการทรงตัวและการได้ยิน ผู้เชี่ยวชาญสามารถประเมินขอบเขตการได้ยิน ด้วยการทดสอบการได้ยินต่างๆ อย่างการตรวจการได้ยิน (Audiometry Test) ซึ่งเป็นกระบวนการให้คุณฟังเสียงในระดับความดังและความสูงที่ต่างกันจากเครื่องมือ และให้คุณกดปุ่มเมื่อได้ยินเสียง
  • ตรวจการเคลื่อนไหวของดวงตา (Videonystagmography (VNG)) มักใช้เพื่อตรวจหาสัญญาณของการเคลื่อนไหวของดวงตาที่ควบคุมไม่ได้ (Nystagmus) ที่บ่งชี้ถึงปัญหาการทรงตัว ระหว่างการทดสอบนี้จะมีการให้ผู้เข้ารับการทดสอบสวมแว่นตาชนิดพิเศษ ก่อนให้คุณมองไปยังทั้งเป้าที่เคลื่อนที่และเป้านิ่ง โดยบนแว่นจะมีกล้องวิดีโอบันทึกการเคลื่อนไหวของดวงตาคุณด้วย
  • ตรวจการเคลื่อนไหวของลูกตาเมื่อถูกกระตุ้นด้วยอากาศ (CaloricTest) โดยจะมีการใส่น้ำหรืออากาศที่มีความอุ่นหรือความเย็นในหูประมาณ 30 วินาที การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินี้จะกระตุ้นสมดุลของอวัยวะในหู ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการทำงานของอวัยวะได้ การทดสอบนี้ไม่สร้างความเจ็บปวดใดๆ แต่อาจทำให้เกิดความรู้สึกวิงเวียนสองสามนาที ก่อนหายเป็นปกติ
  • การตรวจแรงดันของน้ำในหูชั้นใน (Electrocochleography) หรือตรวจสอบว่าเส้นประสาทการได้ยินตอบสนองต่อเสียงอย่างไร ระหว่างการทดสอบจะมีการติดปุ่มอิเล็กโทรดที่ศีรษะ และใช้แท่งเรียวยาวหรือเข็มสอดเข้าไปถึงแก้วหู ระหว่างนี้จะมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ (Local Anaesthetic) เพื่อให้แก้วหูของคุณชาก่อนที่จะมีการสอดเข็ม คุณจะได้ฟังเสียงดังคลิกกระตุ้นเส้นประสาทหลายครั้งระหว่างการทดสอบ
  • การสแกนคลื่อนสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging (MRI)) ที่ศีรษะเพื่อตรวจหาความผิดปกติในสมอง เช่น เนื้องอกบนเส้นประสาทบนหู (Acoustic Neuroma)

การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีวิธีช่วยควบคุมหรือบรรเทาอาการได้ ดังนี้

  • ใช้ยาช่วยบรรเทาอาการ ได้แก่
    • โพรคลอเพอราซีน (Prochlorperazine) : เป็นตัวยาช่วยรักษาอาการคลื่นไส้และวิงเวียน แต่ควรระมัดระวังในการใช้ เนื่องจากเป็นยาซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการตัวสั่น กล้ามเนื้อร่างกายหรือใบหน้ากระตุก รวมถึงง่วงนอนได้

      โพรคลอเพอราซีนมีทั้งที่อยู่ในรูปแบบยาเม็ดให้กลืน ยาอมให้ไว้ในกระพุ้งแก้ม และยาฉีด จะใช้แบบไหนขึ้นอยู่กับระดับอาการที่เป็น ภายในการดูแลของแพทย์
    • เบตาฮิสทีน (ฺBatahistine) : เป็นยาที่มีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหูชั้นใน ทำให้ของเหลวบริเวณนั้นถ่ายเท หมุนเวียนดีขึ้น ส่งผลให้บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ และเพิ่มสมดุลการทรงตัวของร่างกายได้ ผลข้างเคียงของยาเบตาฮิสทีนได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดท้อง เกิดผื่นคัน เป็นยาอันตราย ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
    • กลุ่มยาต้านฮิสตามีน หรือยาแก้แพ้ (Antihistamines) : ตัวยาที่คุณได้รับอาจเป็น ซินนาริซีน (Cinnarizine) ไซคลีซีน (Cyclizine) หรือโพรเมทาซีน (Promethazine) ยากลุ่มนี้จะทำหน้าที่รักษาอาการทางประสาท บรรเทาอาการมึน แต่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอน ปวดศีรษะ ปวดท้อง ควรศึกษาข้อมูลจากฉลากยาให้ถี่ถ้วนก่อนใช้
  • เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อฉีดของเหลวเข้าเส้นเลือดดำ ร่างกายผู้ป่วยจะได้รับน้ำเพียงพอ
  • ปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารการกิน โดยเลือกกินอาหารที่ไม่มีเกลือ หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนที่อยู่ในชาและกาแฟ
  • ใช้การบำบัดด้วยเสียง โดยมากมักจะใช้เสียงแบบเล่นซ้ำๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วยจากเสียงภายใน
  • เข้ารับการผ่าตัด ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง และรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล การผ่าตัดรักษาอาการน้ำในหูไม่เท่ากันมีดังนี้
    • การผ่าตัดแบบไม่ทำลาย (Non-Destructive Surgery) แบ่งย่อยออกได้อีกเป็น
      • การคลายถุงน้ำในหู (Endolymphatic Sac Decompression) : เป็นการลดแรงดันในหูชั้นใน ด้วยการดูดของเหลวในหูชั้นในออก
      • การสอดท่อระบาย (Inserting Ventilation Tubes) : กระบวนการสอดอุปกรณ์เข้าไปในหู เพื่อลดความเปลี่ยนแปลงของแรงดันที่ทำให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
      • การฉีดสเตียรอยด์เข้าไปยังแก้วหู (Injecting Steroid Medication Through the Eardrum)
      • การบำบัดด้วยความดัน (Micropressure Therapy) : เป็นการรักษาใหม่ โดยวิธีสอดท่อเล็กๆ เข้าไปในหูแล้วต่อเข้ากับเครื่องสร้างแรงดันเป็นเวลาไม่กี่นาที โดยทำเป็นจำนวนหลายครั้งต่อวัน
    • การผ่าตัดแบบทำลายบางส่วน (Selectively Destructive Surgery) ระหว่างการผ่าตัดแบบทำลายบางส่วนจะมีการใช้ยาฆ่าเชื้อเจนตาไมซิน (Gentamicin) ฉีดผ่านแก้วหู (ชั้นเนื้อเยื่อบางๆ ที่แยกหูชั้นนอกจากหูชั้นกลาง) และเข้าไปยังส่วนระบบท่อของหูชั้นใน (Labyrinth)
      การใช้ยาเจนตาไมซินมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความเสียหายแก่ส่วนสมดุลของหู แต่ก็มีความเสี่ยงที่ยาอาจสร้างความเสียหายแก่การได้ยินเช่นกัน ศัลยแพทย์บางคนจึงอาจใช้วิธีทายาที่หูชั้นในโดยตรงระหว่างทำการผ่าตัดเล็ก เพื่อจะได้ควบคุมปริมาณยาที่ใช้กับหูได้อย่างดีขึ้น
    • การผ่าตัดแบบทำลาย (Destructive Surgery) : การผ่าตัดนี้ทำลายส่วนของหูชั้นในที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนออก จะใช้เมื่อผู้ป่วยมีอาการที่หูข้างเดียว และหูข้างนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สามารถใช้สื่อสารได้ หรือไม่สามารถได้ยินเสียงที่ดังน้อยกว่า 50 dB นั่นเอง หลังจากการผ่าตัด หูข้างนี้จะสูญเสียการได้ยินไปอย่างถาวร ส่วนที่จะถูกกำจัดออกนั้นคือ
      • ระบบโพรงท่อขนาดเล็กมากมายที่เต็มไปด้วยน้ำในหู
      • ส่วนเส้นประสาทที่ส่งข้อมูลเสียงและข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาสมดุลของร่างกายไปยังสมอง

ภายหลังการผ่าตัดประเภทนี้ หูอีกข้างของคุณอาจต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อปรับตัวการได้ยินและสมดุลร่างกายสักระยะหนึ่ง 

มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกในเรื่องประสิทธิภาพของการผ่าตัดรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากันที่น้อยมาก จึงเป็นเหตุให้แพทย์มักไม่พิจารณาการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

เมื่อเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันแล้ว การใช้ชีวิตย่อมเป็นเรื่องยากและน่าหงุดหงิด เพราะระหว่างที่อาการกำเริบ การได้ยินและการทรงตัวของคุณจะมีปัญหา ทำให้การทำกิจกรรมบางอย่างเป็นอันตราย เช่น

  • การว่ายน้ำ
  • การปีนบันไดลิงหรือบันไดพับ
  • การทำงานเครื่องจักรหนัก
  • การขับรถ

คุณอาจต้องมีคนดูแลอยู่ด้วย เผื่อในกรณีที่อาการกำเริบขึ้นอย่างกะทันหันและต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน

นอกจากนี้ การถูกจำกัดไม่ให้ทำกิจกรรมที่คุ้นเคยอาจทำให้คุณมีอาการเครียด กังวล หรือซึมเศร้าได้ ดังนั้นหากคุณเริ่มรู้สึกว่าตนเองรับมือกับผลจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากันลำบากมากขึ้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอรับความช่วยเหลือและคำแนะนำต่างๆ


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Ménière's Disease (https://www.nidcd.nih.gov/heal...)
Meniere's disease (https://www.mayoclinic.org/dis...)
Ménière’s disease (https://www.menieres.org.uk/in...)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)