โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) เป็นความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อหูชั้นใน ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินเสียงและการทรงตัว
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน อีกทั้งยังนำไปสู่การเกิดปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเสียงและการมีเสียงดังกังวานภายในหู อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้วโรคน้ำในหูไม่เท่ากันมักเกิดขึ้นกับหูเพียงข้างเดียว และมีแนวโน้มที่จะพบในคนที่มีอายุ 40-60 ปี
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
แม้ว่าโรคน้ำในหูไม่เท่ากันเป็นโรคเรื้อรัง แต่การเข้ารับการรักษาและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ซึ่งหลายคนที่ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคดังกล่าวจะมีอาการดีขึ้นภายในไม่กี่ปีหลังจากถูกวินิจฉัย
สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
แม้ว่าไม่มีใครรู้สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันเกิดจากการมีแรงดันของน้ำในหูชั้นในที่สูงกว่าปกติ สำหรับสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นไปได้ หรือตัวการที่อาจทำให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากันมีดังนี้
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ
- การติดเชื้อภายในหูชั้นในหรือหูชั้นกลาง
- ภูมิแพ้
- การดื่มแอลกอฮอล์
- ความเครียด
- ผลข้างเคียงของยาบางชนิด
- การสูบบุหรี่
- ความเครียดหรือความวิตกกังวล
- ความอ่อนเพลีย
- การมีคนในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าว
- การติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ
- การป่วยด้วยโรคที่เกิดจากไวรัสเมื่อเร็วๆ นี้
- การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
- โรคไมเกรน
อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
ผู้ป่วยแต่ละคนมีอาการแตกต่างกันไป สำหรับอาการที่พบได้ประกอบไปด้วย
- อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นนานตั้งแต่หลายนาทีไปจนถึง 24 ชั่วโมง
- สูญเสียการได้ยินในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
- มีเสียงอื้อในหูหรือเสียงกังวาน
- มีความรู้สึกว่าหูถูกอุด
- สูญเสียการทรงตัว
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน และมีเหงื่อออก ซึ่งเกิดจากการมีอาการเวียนศีรษะระดับรุนแรง
นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะมีอย่างน้อย 2-3 อาการดังนี้ในเวลาเดียวกัน
- อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน
- ไม่ได้ยินเสียง
- มีเสียงอื้อในหู
- รู้สึกแน่นในหู
โดยทั่วไปแล้วอาการจะเริ่มต้นจากการรู้สึกถึงแรงดันภายในหู จากนั้นก็จะเกิดเสียงอื้อ ไม่ได้ยินเสียง และมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นนานตั้งแต่ 20 นาทีไปจนถึง 4 ชั่วโมง โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์เป็นช่วงๆ ซึ่งใช้เวลานานที่อาการจะทุเลาลง
หากคุณมีอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ให้คุณนอนราบกับพื้นและเพ่งไปที่วัตถุที่ไม่เคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียว โดยมากแล้วผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นหลังจากที่ได้งีบหลับ
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ระยะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
- ระยะแรก: ในช่วงเวลานี้คนจะมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนแบบฉับพลัน ซึ่งสามารถกินเวลานานตั้งแต่ 20 นาทีไปจนถึงตลอดทั้งวัน ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าหูตันหรือแน่น และอาจสูญเสียการได้ยินซึ่งมักจะหายไปเองหลังจากที่อาการดังกล่าวบรรเทาลง นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าตัวเองมีอาการหูอื้อ
- ระยะกลาง: อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงน้อยลงในระยะนี้ ในขณะที่อาการสูญเสียการได้ยินและหูอื้อจะมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้มีผู้ป่วยหลายรายที่มีอาการทุเลาในระยะยาวซึ่งสามารถคงอยู่นานหลายเดือน
- ระยะสุดท้าย: ในช่วงนี้ผู้ป่วยจะไม่ได้มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนบ่อยครั้ง และบางคนจะหายจากอาการดังกล่าวตลอดไป แต่อาการหูอื้อและการสูญเสียการได้ยินมีแนวโน้มที่จะแย่ลงอย่างต่อเนื่อง และผู้ป่วยมีโอกาสที่จะทรงตัวลำบาก
นอกจากผู้ป่วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะมีอาการดังกล่าวแล้ว ยังมีโอกาสป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล เพราะอาการป่วยส่งผลต่อการได้ยิน ผู้ป่วยอาจเสียความมั่นใจเมื่อสนทนากับคนอื่นๆ ในที่ทำงาน ซึ่งสามารถนำไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล
การวินิจฉัยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
หากคุณมีอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แพทย์จะตรวจสอบการทรงตัว การได้ยิน และตัดความเป็นไปได้ของสาเหตุอื่นๆ
1. การทดสอบการได้ยิน
แพทย์จะทดสอบการได้ยินเพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณกำลังสูญเสียการได้ยินหรือไม่ ในการทดสอบนี้คุณจะต้องใส่หูฟัง และฟังเสียงรบกวนที่มีระดับสูงต่ำและระดับความดังของเสียงหลากรูปแบบ คุณจำเป็นต้องบอกว่าคุณได้ยินเสียงหรือไม่ได้ยินเสียงใดเพื่อที่แพทย์จะได้วินิจฉัยได้ถูกต้อง นอกจากนี้การทดสอบการฟังโดยให้ผู้ป่วยบอกความแตกต่างระหว่างเสียงที่คล้ายกัน หรือการฟังคำต่างๆ จากหูฟังและพูดซ้ำสิ่งที่ได้ยินยังช่วยบอกเช่นกันว่าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินที่หูข้างเดียวหรือสองข้าง
หากหูชั้นในหรือเส้นประสาทในหูมีปัญหา มันก็สามารถทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการได้ยิน ซึ่งแพทย์อาจตรวจแรงดันของน้ำในหูชั้นใน (Electrocochleography (ECog)) และอาจตรวจการทำงานของประสาทหูหรือประสาทการได้ยินระดับก้านสมอง (Auditory Brainstem Response (ABR)) ซึ่งการทดสอบเหล่านี้สามารถบอกได้ว่าปัญหาเกิดจากหูชั้นในหรือเส้นประสาทในหู
2. การทดสอบสมดุล
การทดสอบสมดุลถูกนำมาใช้เพื่อทดสอบการทำงานของหูชั้นใน ผู้ป่วยที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะมีการตอบสนองต่อความสมดุลลดลงในหูข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งการทดสอบที่นิยมนำมาใช้ก็คือ Electronystagmography (ENG) แพทย์จะนำขั้วไฟฟ้ามาติดที่รอบๆ ดวงตาเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของดวงตา
ในระหว่างการทดสอบนี้จะมีการใส่น้ำร้อนและน้ำเย็นเข้าไปในหู น้ำจะทำให้คุณสามารถทรงตัวได้ และจะมีการติดตามการเคลื่อนไหวของดวงตาที่เคลื่อนโดยอัตโนมัติ ความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้นนั้นสามารถบ่งบอกได้ว่าหูชั้นในของคุณมีปัญหา
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
นอกจากนี้แพทย์อาจใช้ Rotary Chair ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้บ่อยเท่ากับวิธีข้างต้น ซึ่งมันสามารถบอกได้ว่าปัญหาเกิดจากหูหรือสมอง และมักนำมาใช้เพิ่มเติมจาก ENG เพราะว่าผลของ ENG สามารถผิดพลาดหากหูของคุณเสียหาย หรือมีขี้หูอุดตันภายในช่องหูฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ในการทดสอบนี้แพทย์จะบันทึกการเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างระมัดระวังในขณะที่เก้าอี้หมุน
ในขณะที่ Vestibular Evoked Myogenic Potential (VEMP) เป็นการทดสอบที่วัดค่าความไวเสียงของ Vestibule ของหูชั้นใน ส่วน Posturography นั้นเป็นการทดสอบว่าระบบทรงตัวส่วนใดที่ทำงานผิดปกติ
3. การทดสอบอื่นๆ
การมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง เช่น โรคเอ็มเอส หรือการมีเนื้องอกในสมองสามารถทำให้มีอาการคล้ายกับโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งแพทย์อาจใช้วิธีตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพื่อประเมินปัญหาที่เป็นไปได้ที่เกิดกับสมอง
การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เนื่องจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากันเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่มีการรักษาหลายประเภทที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ เช่น
- ยา: แพทย์อาจจ่ายยาที่ช่วยบรรเทาอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งการทานยาที่ช่วยบรรเทาภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหว หรืออาการเมารถสามารถช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน คลื่นไส้ และอาเจียน หากคุณมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนรุนแรง แพทย์อาจจ่ายยาแก้อาเจียน ในกรณีที่น้ำในหูผิดปกติ แพทย์ก็อาจจ่ายยาขับปัสสาวะเพื่อช่วยลดน้ำในร่างกาย นอกจากนี้แพทย์อาจฉีดยาเข้าไปในหูชั้นในผ่านทางหูชั้นกลางเพื่อลดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน
- กายภาพบำบัด: การฟื้นฟูระบบการทรงตัวสามารถช่วยให้อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนบรรเทาลง ซึ่งนักกายภาพบำบัดสามารถช่วยสอนวิธีดังกล่าวได้
- การใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง: นักโสตสัมผัสวิทยาสามารถช่วยรักษาภาวะสูญเสียการได้ยิน และมักนำเครื่องช่วยฟังมาเป็นอุปกรณ์ในการรักษา
- การผ่าตัด: คนส่วนมากที่ป่วยเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่วิธีนี้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีอาการรุนแรงและวิธีรักษาอื่นๆ ไม่ได้ผล ทั้งนี้แพทย์อาจทำการผ่าตัดแบบ Endolymphatic Sac Procedure ซึ่งสามารถช่วยลดการผลิตน้ำและช่วยให้น้ำระบายออกจากหูชั้นใน
- การปรับอาหาร: การปรับเปลี่ยนอาหารอาจช่วยลดปริมาณน้ำในหูชั้นในและช่วยบรรเทาอาการ อาหารและเครื่องดื่มที่คุณควรจำกัดการทานหรืองดทานประกอบไปด้วยอาหารจำพวกเกลือ คาเฟอีน ช็อกโกแลต แอลกอฮอล์ และผงชูรส นอกจากนี้คุณควรดื่มน้ำให้ได้ 6-8 แก้วต่อวันเพื่อไม่ให้ร่างกายกักเก็บน้ำ
- การปรับไลฟ์สไตล์: การปรับไลฟ์สไตล์อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เช่น การนอนพักในระหว่างที่มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน การทานอาหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยควบคุมน้ำในร่างกาย การจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลผ่านการทำจิตบำบัดหรือทานยา หรือการเลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ เพราะทั้งนิโคตินและภูมิแพ้สามารถทำให้อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันแย่ลง
แม้ว่าไม่มีวิธีที่ใช้รักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากันได้อย่างถาวร แต่มีหลายวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่พบว่าอาการจะทุเลาลงไปเองแต่ก็สามารถใช้เวลาเป็นปี ทั้งนี้แพทย์สามารถช่วยหาวิธีรักษาที่เหมาะกับคุณ
พอดีวันนั้นแฟนท้องเสีย ลุกขึ้นแล้วล้มหมดสติในห้องน้ำ ไปหาหมอไปเช็ตร่างกาย หมอบอกปกติ แต่หลังจากวันนั้นร่างกายเหมือนทรงตัวไม่ค่อยอยู่ จากเดิมเป็นคนใส่แว่น ตอนนี้ต้องถอดแว่น ตอนแรกนึกว่าเกี่ยวกับสายตา ก็ไปตรวจเฉพาะทาง ไม่มีอะไรผิดปดติ เลยไปเช็ค mri ผลออกมาก็ปกติทุกอย่าง แต่อาการยังเหมือนเดิมเลย และ...