ภาวะซีด (Paleness)

ภาวะซีด มักเป็นภาวะที่เกิดจากโรคโลหิตจาง ซึ่งบางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะทางการแพทย์ร้ายแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว
เผยแพร่ครั้งแรก 4 มิ.ย. 2019 อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ภาวะซีด (Paleness)

ภาวะซีด คือ ภาวะที่ผิวหนังมีสีซีดกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนลดลง หรือเกิดจากปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลง ภาวะซีดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณทั่วร่างกาย แต่มักพบที่บริเวณแขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง และอาจพบได้ที่เยื่อบุด้านในของเปลือกตาล่าง ฝ่ามือ เล็บมือ ลิ้น และเยื่อบุภายในช่องปากบ้างเป็นบางครั้ง

อาการที่สัมพันธ์กับภาวะซีด

ภาวะซีด เป็นอาการที่มักพบร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น โรคโลหิตจาง และการอุดตันของเส้นเลือดแดง ซึ่งก็จะมีความแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค ดังนี้

  • โลหิตจางเฉียบพลัน (Acute Onset Anemia) อาการของโลหิตจางเฉียบพลัน ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย ความดันโลหิตต่ำ และหมดสติ
  • โลหิตจางเรื้อรัง (Chronic Anemia) พบได้มากในผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามาก และผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีอาการซีด อ่อนเพลีย หรือขี้หนาว
  • การอุดตันของเส้นเลือดแดง หรือการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี จะทำให้เกิดอาการซีดเฉพาะที่ มักเกิดขึ้นที่แขนหรือขา และจะมีอาการปวดหรือเย็นเนื่องจากเลือดไหลเวียนน้อยกว่าปกติ

สาเหตุของอาการภาวะซีด

ภาวะซีด มักเกิดจากภาวะโลหิตจาง (Anemia) หรือสภาวะที่ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. โลหิตจางเฉียบพลัน : เกิดจากการเสียเลือดอย่างรวดเร็ว เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือมีเลือดออกภายในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณกระเพาะอาหารหรือลำไส้
  2. โลหิตจางเรื้อรัง เกิดจากการขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลท หรืออาจเกิดจากพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Disease) และธาลัสซีเมีย (Thalassemia) บางครั้งอาจพบว่าเกิดจากโรคไตวายเรื้อรัง (Chronic kidney failure) โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ (Hypothyroidism) หรือโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย

นอกจากภาวะโลหิตจางแล้ว อาจพบภาวะซีดได้จากสาเหตุต่อไปนี้

  • ขาดการสัมผัสกับแสงแดด
  • ผิวหนังมีสีซีดตามธรรมชาติ
  • การสัมผัสความเย็นและเนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะความเย็นจัด (Frostbite)
  • ภาวะช็อก (ความดันโลหิตลดต่ำลงในระดับอันตราย)
  • การอุดตันของเส้นเลือดแดงบริเวณแขนหรือขา

เมื่อไรที่ต้องพบไปพบแพทย์

หากพบว่ามีภาวะซีดทั่วร่างกาย ร่วมกับอาการหน้ามืด เป็นลม มีไข้ อาเจียนเป็นเลือด มีเลือดออกทางทวารหนัก ให้รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของภาวะทางการแพทย์ที่ร้ายแรง แต่ถ้าพบภาวะซีด ร่วมกับอาการหายใจหอบเหนื่อย ปวดและเย็นที่แขนหรือขา หรือเจ็บหน้าอกร่วมกับอาการตัวซีดเฉียบพลัน ให้รีบไปพบแพทย์ หรือโทรศัพท์สายด่วน 1669 เพื่อเรียกรถพยาบาลทันที

การวินิจฉัยภาวะซีด

แพทย์จะซักประวัติอาการร่วมกับข้อมูลประวัติทางการแพทย์ พร้อมกับตรวจร่างกาย วัดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ตามปกติแล้วภาวะซีดสามารถวินิจฉัยได้ง่ายจากการสังเกตผิว แต่หากผู้ป่วยมีผิวคล้ำ แพทย์จะตรวจที่เปลือกตาด้านในและที่เยื่อบุเพื่อดูว่ามีภาวะซีดเกิดขึ้นหรือไม่

แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อวินิจฉัยภาวะซีดให้แม่นยำมากขึ้น ดังนี้

  • การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count (CBC)) เป็นการตรวจเลือดเพื่อประเมินว่ามีภาวะโลหิตจางหรือมีการติดเชื้อหรือไม่
  • การนับเซลล์เม็ดเลือดแดงตัวอ่อน (Reticulocyte Count) เป็นการตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไขกระดูก
  • การตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจดูว่ามีเลือดในอุจจาระหรือไม่ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการมีเลือดออกภายในลำไส้
  • การตรวจการตั้งครรภ์ (Serum Pregnancy Test) การตั้งครรภ์อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
  • การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ (Thyroid Function Test) เป็นการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติจะทำให้เกิดโลหิตจาง
  • การตรวจการทำงานของไต (Kidney Function Test) เพราะภาวะไตวายอาจทำให้เกิดโลหิตจาง แพทย์อาจให้ตรวจค่า BUN หรือ Creatinine ในเลือด เพื่อดูว่าไตทำงานเป็นปกติหรือไม่
  • การตรวจการขาดวิตามิน แพทย์อาจให้ตรวจหาปริมาณธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และระดับของโฟเลทในร่างกาย เพื่อดูว่ามีการขาดสารอาหารดังกล่าวซึ่งเป็นสาเหตุของโลหิตจางหรือไม่
  • การเอกซเรย์ช่องท้อง (Abdominal X-Ray) เป็นการตรวจโดยใช้การเอกซเรย์ดูอวัยวะภายในช่องท้อง
  • การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound) เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงในการตรวจหาความผิดปกติในร่างกาย
  • การตรวจซีทีสแกนช่องท้อง (Abdominal CT Scan) เป็นการตรวจโดยใช้รังสีเอกซ์สร้างภาพที่มีความละเอียดของอวัยวะและเส้นเลือดภายในช่องท้อง
  • การบันทึกภาพรังสีหลอดเลือดแดงที่บริเวณแขนหรือขา (Extremity Arteriography) เป็นการเอกซเรย์ร่วมกับการฉีดสีเข้าไปที่เส้นเลือดแดงบริเวณแขนหรือขา เพื่อตรวจดูว่ามีการอุดตันของเส้นเลือดหรือไม่

การรักษาอาการตัวซีด

การรักษาภาวะซีดจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ซึ่งมีทางเลือกในการรักษาดังนี้

  • รับประทานอาหารให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ได้สารอาหารเพียงพอ
  • การรับประทานธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 หรือโฟเลทเสริม
  • การใช้ยา หรือเข้ารับการรักษาเพื่อควบคุมอาการของโรคที่เป็นอยู่
  • การผ่าตัด มักทำเฉพาะในกรณีที่มีการเสียเลือดเฉียบพลันอย่างรุนแรง หรือใช้สำหรับรักษาการอุดตันของเส้นเลือดแดง

ที่มาของข้อมูล

Verneda Lights, Paleness (https://www.healthline.com/health/paleness), March 30, 2018.


9 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Causes of skin paleness in dark and light skin. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/325562)
Paleness: Causes, Symptoms, Diagnosis, and Treatment. Healthline. (https://www.healthline.com/health/paleness)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)