ภาวะหูชั้นกลางอักเสบ หรือ “หูน้ำหนวก (Otitis media)” คือภาวะติดเชื้อที่หูชั้นกลางซึ่งทำให้เกิดการบวมแดง และมีของเหลวสะสมข้างหลังแก้วหู ใครก็สามารถเป็นภาวะนี้ได้ โดยที่พบบ่อยที่สุดเป็นทารกอายุ 6-15 เดือน
อาการและสัญญาณของภาวะหูชั้นกลางอักเสบ
ส่วนใหญ่แล้ว ภาวะหูชั้นกลางอักเสบจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาไม่กี่วันก็หาย (เรียกว่าภาวะหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน) อาการหลักๆ ได้แก่ ปวดหู มีไข้สูง อาเจียน หมดเรี่ยวแรง หรือหากหูชั้นกลางมีของเหลวมาก ผู้ป่วยอาจสูญเสียการได้ยินเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะมีน้ำข้นในหูชั้นกลาง (Glue Ear)
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ในบางกรณีอาจเกิดแก้วหูทะลุ (Perforated Eardrum) และอาจทำให้มีหนองไหลออกจากหู ซึ่งจะทำให้อาการปวดจากของเหลวสะสมจนแก้วหูยืดออกหายไป
สำหรับทารกซึ่งไม่สามารถบอกความต้องการของตนเองได้ ผู้ใหญ่ควรสังเกตสัญญาณต่อไปนี้
- ดึงหรือขยี้หูตนเอง
- ฉุนเฉียว
- เบื่ออาหาร
- มีอาการกระสับกระส่ายในเวลากลางคืน
- ไอหรือน้ำมูกไหล
- ท้องร่วง
- ไม่ตอบสนองต่อเสียงเบา หรือมีสัญญาณว่าการได้ยินไม่ค่อยดี เช่น ไม่เอาใจใส่
- ทรงตัวไม่อยู่
ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะหูชั้นกลางอักเสบ
ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะหูชั้นกลางอักเสบจัดว่าค่อนข้างหายาก แต่หากเกิดแล้วมักจะมีความรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่
- โพรงกระดูกมาสตอยด์อักเสบ (Mastoiditis) หรือการติดเชื้อลุกลามออกจากหูชั้นกลางเข้าไปยังโพรงกระดูกที่อยู่ใต้หู (มาสตอยด์) ทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
- มีไข้สูง
- หลังหูบวม
- หลังหูแดง เมื่อกดแล้วรู้สึกเจ็บ
- มีของเสียลักษณะข้นไหลออกจากหู
- ปวดศีรษะ
- การได้ยินลดลง
โดยส่วนใหญ่แล้ว ภาวะโพรงจมูกมาสตอยด์อักเสบมักต้องทำการรักษาที่โรงพยาบาล ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะผ่านเส้นเลือด (Intravenously) หรือในบางกรณีอาจต้องมีการผ่าตัดดูดของเสียอกจากหูและโพรงกระดูกที่ติดเชื้อ
- เกิดภาวะคอเลสทีอะโทมา (Cholesteatoma) หรือมีก้อนผิวหนังงอกเข้าไปอัดแน่นอยู่ภายในหูชั้นกลางและ/หรือในโพรงกระดูกมาสตอยด์
หากไม่ทำการรักษา คอเลสทีอะโทมาจะสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างบอบบางภายในหู เช่นกระดูกขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการฟัง อาการของคอเลสทีอะโทมา ได้แก่ ภาวะการได้ยินลดลง ใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก วิงเวียน หูอื้อ ได้ยินเสียงในหู โดยส่วนใหญ่แล้วจะรักษาด้วยการผ่าตัดกำจัดก้อนผิวหนังดังกล่าวออก - หูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อในหูชั้นกลางลุกลาม อาการของหูชั้นในอักเสบ ได้แก่ วิงเวียน เวียนศีรษะบ้านหมุน (Vertigo) สูญเสียการทรงตัว สูญเสียการได้ยิน อย่างไรก็ตาม ภาวะหูชั้นในอักเสบมักจะหายได้เองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และสามารถใช้ยาบรรเทาอาการได้
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะนี้นับว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยและมีความร้ายแรงอย่างมาก จะเกิดขึ้นเมื่อการติดเชื้อลุกลามเข้าไปยังเยื่อหุ้มชั้นนอกของสมองและไขสันหลัง หากคุณคาดว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ให้รีบขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลทันที การรักษามักใช้วิธีให้ยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือด
อาการของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีดังนี้- ปวดศีรษะรุนแรง
- อาเจียน
- มีไข้สูง
- คอแข็ง
- อ่อนไหวต่อแสง
- หายใจถี่
- เกิดผื่นตุ่มแดงที่ไม่หาย หรือเปลี่ยนสีเมื่อถูกกดทับ (ไม่จำเป็นต้องมีอาการเช่นนี้ทุกครั้ง)
- เกิดภาวะฝีในสมอง (Brain Abscess) เป็นอีกภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อย แต่ร้ายแรง หากคุณคาดว่าตนเองหรือคนใกล้เคียงมีภาวะฝีในสมอง ให้รีบขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลทันที ภาวะฝีในสมองมักจะรักษาได้ด้วยการผ่าตัดร่วมกับการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยศัลยแพทย์จะทำการผ่าเปิดกะโหลกและดูดหนองออกจากฝีหรือทำการผ่าฝีออกทั้งหมด
อาการของภาวะฝีในสมอง มีดังนี้- ปวดศีรษะรุนแรง
- เกิดอาการทางจิต เช่น สับสน
- ร่างกายซีกหนึ่งอ่อนแรงหรืออัมพาต
- มีไข้สูง
- เกิดอาการชัก
- ใบหน้าเป็นอัมพาต (Facial Paralysis) เนื่องจากภาวะหูชั้นกลางอักเสบก่อให้เกิดการบวม จนกดทับเส้นประสาทบนใบหน้า การกดทับของเส้นประสาทนี้ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวใบหน้าบางส่วนหรือทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก และถึงเกิดแล้วก็สามารถรักษาให้หายขาดเมื่อเชื้อต้นเหตุได้รับการรักษา
สาเหตุของภาวะหูชั้นกลางอักเสบ
ภาวะหูชั้นกลางอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น หวัด ทำให้มีเมือกสะสมในหูชั้นกลางและทำให้ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ซึ่งเป็นท่อเรียวๆ ที่พาดผ่านจากหูชั้นกลางไปยังหลังจมูกเกิดการบวมหรืออุดตันขึ้น ภาวะดังกล่าวทำให้น้ำมูกไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติ ทำให้เชื้อโรคแพร่เข้าสู่หูชั้นกลางได้ง่ายขึ้น
การโตขึ้นของต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มที่อยู่หลังคอ ก็สามารถทำให้ท่อยูสเตเชียนอุดตันได้เช่นกัน
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ส่วนภาวะหูชั้นกลางอักเสบในเด็ก เกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุต่อไปนี้
- ท่อยูสเตเชียนของเด็กมีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่
- ต่อมอะดีนอยด์ของเด็กมีขนาดใหญ่กว่าของผู้ใหญ่ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ยังมีภาวะบางอย่างที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในหูชั้นกลางได้ เช่น
- ภาวะเพดานปากโหว่ (Cleft Palate) : ภาวะเพดานปากแยกออก ซึ่งเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด
- ภาวะดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) : ภาวะทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้การเรียนรู้และลักษณะทางร่างกายบางอย่างบกพร่อง
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
ภาวะหูชั้นกลางอักเสบมักหายได้เองภายในไม่กี่วัน ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
- ผ่านไป 2-3 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
- ความเจ็บปวดรุนแรงกว่าเดิม
- มีหนองหรือของเหลวออกจากหู โดยอาจมีหรือไม่มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยก็ได้
- มีภาวะสุขภาพอื่นๆ อยู่ก่อน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้น เช่น โรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis) หรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)
วิธีการวินิจฉัยภาวะหูชั้นกลางอักเสบ
ภาวะหูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media) สามารถวินิจฉัยได้ด้วยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “โอโตสโคป (Otoscope)” เป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กที่มีแว่นขยายและไฟฉายติดอยู่ที่ปลาย แพทย์จะใช้เครื่องมือนี้ตรวจสอบภายในหู เพื่อมองหาสัญญาณว่ามีของเหลวในหูชั้นกลาง อันอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ สัญญาณที่ว่านั้นได้แก่
- แก้วหูบวมออก
- แก้วหูมีสีแดงหรือเหลืองผิดปกติ
- แก้วหูขุ่นมัว
- แก้วหูแตก
- มีของเหลวในช่องหู หรือท่อระหว่างหูชั้นนอกกับแก้วหู
หากการรักษาไม่ได้ผลหรือมีภาวะแทรกซ้อนใดๆ เกิดขึ้น อาจมีการให้แพทย์เฉพาะทางทำการตรวจสอบเพิ่ม ด้วยวิธีต่อไปนี้
- การทดสอบการทำงานของหูชั้นกลาง (Tympanometry) : การทดสอบเพื่อประเมินว่าแก้วหูตอบสนองอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันอากาศ ระหว่างการทดสอบจะมีการสอดแท่งเข้าไปในหูของเด็ก แท่งนี้จะเปลี่ยนแรงดันอากาศพร้อมส่งเสียงเข้าไปในหู แก้วหูที่มีสุขภาพดีจะต้องขยับได้ง่ายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของแรงดันอากาศ แต่หากแก้วหูมีการขยับช้าหรือไม่ขยับเลย จะบ่งชี้ว่ามีของเหลวอยู่หลังแก้วหู
- การตรวจวัดระดับการได้ยิน (Audiometry) : การทดสอบด้วยการใช้เครื่องวัดสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometer) ปล่อยเสียงในระดับความดังและความถี่ต่างๆ เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีภาวะสูญเสียการได้ยินหรือไม่ ระหว่างการทดสอบ ผู้ป่วยจะได้ฟังเสียงผ่านหูฟังแล้วตอบแพทย์ว่าได้ยินเสียงหรือไม่
- การสแกน มักใช้กับกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการติดเชื้อออกจากหูชั้นกลางไปยังพื้นที่โดยรอบ โดยการสแกนอาจเป็นแบบ CT Scan หรือ MRI Scan
การรักษาภาวะหูชั้นกลางอักเสบ
ส่วนมากแล้ว ภาวะหูชั้นกลางอักเสบจะหายไปเองภายใน 3-5 วัน ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาใดๆ แต่หากมีอาการเจ็บปวดและไข้ขึ้นสูง ก็สามารถใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพื่อบรรเทาอาการได้
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ในผู้ป่วยเด็กก็สามารถใช้ยาแก้ปวดได้เช่นกัน แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่ายานั้นๆ เหมาะกับช่วงอายุของเด็ก โดยศึกษาจากฉลากยาหรือปรึกษาเภสัชกร
วิธีการรักษาภาวะหูชั้นกลางอักเสบอื่นๆ ได้แก่
- ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดหยอดหู : มักใช้กับผู้ใหญ่และเด็กที่มีภาวะหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (Chronic Suppurative Otitis Media)
- สอดท่อกรอมเมต (Grommet) เข้าไปยังแก้วหูเพื่อดูดของเหลวออก : มักใช้กับผู้ป่วยเด็ก ซึ่งวิธีนี้จะใช้เวลาเพียง 15 นาที เมื่อเสร็จสิ้นแล้วสามารถกลับบ้านได้เลย ตัวท่อจะช่วยให้แก้วหูโล่งเป็นเวลานานหลายเดือน และเมื่อแก้วหูเริ่มสมานตัว ท่อก็จะถูกดันออกจากแก้วหูช้าๆ จนหลุดออกมาเองในที่สุด บางกรณีอาจต้องมีการเปลี่ยนท่อ หากของเหลวยังไม่หมดไปจากแก้วหู
การป้องกันภาวะหูชั้นกลางอักเสบ
ภาวะหูชั้นกลางอักเสบไม่อาจป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะในเด็ก ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ดูแลให้เด็กได้รับวัคซีนตามกำหนด โดยเฉพาะวัคซีนปอดอักเสบ (Pneumococcal Vaccine) กับ DTaP/IPV/Hib (5-in-1) วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
- หลีกเลี่ยงการให้เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยควัน โดยเฉพาะควันบุหรี่
- ไม่ให้เด็กดูดนมจากขวดในขณะที่เด็กกำลังนอนหงาย
- หากเป็นไปได้ ให้เด็กทารกดื่มนมมารดาแทนการดื่มนมผง อย่างน้อยในช่วง 6 เดือนแรก เนื่องจากนมแม่มีภูมิคุ้มกันสูง
- เลี่ยงการสัมผัสกับเด็กอื่นที่ไม่สบาย เพื่อลดโอกาสที่จะติดเชื้อ