ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมไร้ท่อที่สำคัญของร่างกายตั้งอยู่บริเวณหน้ากล่องเสียง รูปร่างคล้ายผีเสื้อ มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ 2 ชนิด ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย การผลิตฮอร์โมนนั้นจะถูกควบคุมด้วยต่อมใต้สมองอีกทอดหนึ่ง
ไทรอยด์เกินมีหลายสาเหตุ
- โรคคอพอก เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายไปกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากผิดปกติ โรคนี้พบในวัยกลางคน ช่วงอายุ 20-40 ปี ทั้งในเพศชายและหญิง อาการที่พบได้แก่ คอพอกเนื่องจากการเพิ่มขนาดของต่อมไทรอยด์ ตาโปน อาจทำให้เยื่อบุตาแดง อักเสบ กลอกตาลำบากและมองเห็นภาพซ้อน
- ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ ซึ่งก้อนเหล่านี้สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ได้เหมือนเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ปกติ
- ต่อมไทรอยด์อักเสบ เกิดจากต่อมไทรอยด์อักเสชั่วคราวจากภูมิคุ้มกัน ซึ่งการอักเสบทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาเพิ่มขึ้น สามารถพบได้หลังคลอดบุตรโดยไม่มีอาการปวด
- ต่อมไทรอยด์อักเสบจากการติดเชื้อไวรัส จะมีอาการปวดบริเวณต่อม ต่อมโต กดเจ็บ หลังจากการติดเชื้อดีขึ้นจะเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำตามมาได้
- รับประทานยาลดระดับฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป ทำให้ร่างกายมีฮอร์โมนสูงผิดปกติ
อาการของโรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นอย่างไร
- กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ
- อ่อนแรงโดยเฉพาะต้นแขนต้นขาทำให้ยกแขนหรือเดินขึ้นบันไดลำบาก
- มือสั่น
- ร้อนง่าย
- ใจเต้นเร็ว แรง
- อ่อนเพลีย
- กินจุ น้ำหนักลด
- ลำไส้บีบตัวเร็ว ทำให้ถ่ายบ่อยหรือถ่ายเหลว
โรคไทรอยด์เป็นพิษวินิจฉัยได้อย่างไร
การตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือด เป็นวิธีเบื้องต้นในการตรวจว่าฮอร์โมนเกินหรือไม่ จากนั้นจึงตรวจเพื่อหาสาเหตุต่อไปเช่น การทำไทรอยด์สแกน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
วิธีการรักษามีอะไรบ้าง
- การใช้ยาประกอบด้วยยาลดการสร้างฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์และยาลดอาการใจสั่น ระยะเวลาของการรับประทานยาจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ปี ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 30 สามารถรักษาจนหายขาดได้ ถ้าอาการเป็นน้อยโอกาสหายขาดจะสูงขึ้นเป็นร้อยละ 50-70 กรณีตัวโรคไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา อาจพิจารณารักษาด้วยการกลืนแร่หรือการผ่าตัดต่อไป ในผู้ป่วยที่ไม่รักษาด้วยวิธีดังกล่าวก็สามารถรับประทานยาต่อในระยะยาวก็ได้ การใช้ยาในระยะยาวมีข้อควรระวังในสตรีตั้งครรภ์เนื่องจากยาไทรอยด์บางชนิดทำให้เกิดความพิการต่อทารก นอกจากนี้ต้องตรวจเม็ดเลือดขาวเพื่อติดตามภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำที่เป็นผลข้างเคียงที่สำคัญของยาอย่างสม่ำเสมอ
- การกลืนแร่ไอโอดีน เป็นการใช้สารรังสีที่บรรจุเป็นแคปซูลหรือน้ำโดยต้องรับการดูแลในโรงพยาบาลในช่วงที่ได้รับสารรังสี เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายประมาณ 6-18 สัปดาห์สารนี้จะไปทำลายเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์อย่างถาวรและมีความปลอดภัย ผู้ป่วยส่วนใหญ่รักษาเพียงครั้งเดียวแต่หากต่อมไทรอยด์มีขนาดใหญ่มากอาจจำเป็นต้องกลืนแร่มากกว่าหนึ่งครั้ง ในช่วง 3-7 วันหลังรับการรักษาอาจมีสารรังสีกระจายออกมาจากร่างกายจึงไม่ควรอยู่ใกล้ชิดเด็กหรือสตรีมีครรภ์ และไม่ควรตั้งครรภ์ในระหว่างที่รักษาด้วยวิธีนี้
- การผ่าตัด ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วย 2 วิธีข้างต้นได้ ผู้ที่มีปัญหาหลอดลมและทางเดินหายใจถูกกดเบียดโดยต่อมไทรอยด์ที่มีขนาดใหญ่หรือสงสัยมะเร็งของก้อนที่ต่อมไทรอยด์ โดยผ่าตัดเอาต่อมไทรอยด์ออกอย่างไรก็ตามอาจทำให้ผู้ป่วยมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำและต้องรับประทานฮอร์โมนทดแทนหลังการผ่าตัด การผ่าตัดอาจเอาต่อมพาราไทรอยด์ออกไปด้วยจะทำให้เกิดระดับแคลเซี่ยมในเลือดเสียสมดุล หรือมีเสียงแหบเนื่องจากผ่าตัดถูกเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล่องเสียง
ถ้าไม่รักษาจะเป็นอย่างไร
- หัวใจโต เนื่องจากหัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวแต่โตขึ้นจนในที่สุดเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมองกลายเป็นอัมพฤต อัมพาต
- ระดับไขมันชนิดดีในร่างกายลดลง ซึ่งไขมันตัวนี้มีหน้าที่ชะลอความเสื่อมของหลอดเลือด
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
- หายใจหอบเหนื่อย กล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง ความดันในหลอดเลือดของปอดสูง ผู้ที่เป็นหอบหืดอาการจะเป็นรุนแรงขึ้น
- การดูดซึมอาหารไม่ดี กลืนอาหารลำบากหากต่อมไทรอยด์มีขนาดใหญ่
- กระดูกพรุน
- พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง มีอาการทางจิตเวชเช่น ภาพหลอน สับสน ซึมเศร้า