การมีแก๊สในท้องนั้นเป็นเรื่องปกติหรือไม่?
โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่นั้นมีการขับแก๊สออกวันละ 13-21 ครั้งต่อวัน แก๊สนั้นเป็นเรื่องปกติของระบบย่อยอาหารแต่ถ้าหากมีแก๊สสะสมในลำไส้และคุณไม่สามารถขับออกได้ คุณอาจจะเริ่มรู้สึกแน่นท้องและไม่สบายตัว
อาการแน่นท้องจากแก๊ส ท้องอืด และผายลมบ่อยนั้นอาจจะถูกกระตุ้นได้จากอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องอืด นอกจากนั้นยังอาจเกิดได้จาก
- การรับประทานอาหารมากเกินไป
- การกลืนอาหารระหว่างที่กินหรือดื่ม
- เคี้ยวหมากฝรั่ง
- การสูบบุหรี่
- การรับประทานบางชนิด
ควรไปพบแพทย์หากคุณมีการมีแก๊สในท้องของคุณทำให้เกิดอาการต่อไปนี้
- ทำให้แน่นท้อง
- มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
- พบร่วมกับอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือน้ำหนักลด
- แพทย์สามารถหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้
การกำจัดแก๊ส
ส่วนมากแก๊สนั้นเกิดจากอาการที่คุณรับประทานเข้าไป อาหารนั้นจะถูกย่อยในครั้งแรกที่ลำไส้เล็กและส่วนที่ไม่ถูกย่อยนั้นจะเกิดการหมักอยู่ในลำไส้ใหญ่ที่มีแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการย่อยอาหาร กระบวนการนี้จะทำให้เกิดแก๊สมีเทนและไฮโดรเจนซึ่งจะถูกขับออกมาเป็นการผายลม
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ การเปลี่ยนนิสัยในการรับประทานอาหารนั้นก็เพียงพอที่จะลดแก๊สที่เกิดขึ้นและอาการอื่นๆ ที่เกิดร่วมกัน วิธีหนึ่งที่ช่วยระบุว่าอาหารใดเป็นอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สก็คือการทำบันทึกอาหารที่รับประทาน
อาหารที่มักทำให้เกิดแก๊สประกอบด้วย
- อาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง
- อาหารที่มีไขมันสูง
- อาหารทอดหรืออาหารเผ็ด
- เครื่องดื่มอัดลม
- สารปรุงแต่งที่มักจะพบในอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำและไม่มีน้ำตาลเช่น sugar alcohol, sorbitol และ maltitol
- ถั่วต่างๆ
- ผักที่เป็นดอก เช่น Brussels sprouts, ดอกกะหล่ำและบรอคโคลี่
- ลูกพรุนหรือน้ำลูกพรุน
- อาหารที่มีน้ำตาลแลคโตสเช่นนม ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ
- อาหารในกลุ่มที่เรียกว่า fermentable oligosaccharides, disaccharides, monosaccharides and polyols (FODMAP) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่พบในอาหารหลายชนิดเช่นหอมใหญ่และกระเทียมซึ่งอาจจะทำให้ย่อยยาก
- เครื่องดื่มและอาหารเสริมที่มีเส้นใยอาหาร
เมื่อคุณทราบว่าอาหารใดที่ทำให้เกิดแก๊ส คุณก็สามารถปรับอาหารที่รับประทานเพื่อลดการรับประทานอาหารเหล่านี้ได้
คำแนะนำ
หากการเปลี่ยนอาหารนั้นยังไม่สามารถบรรเทาอาการได้ทั้งหมด ให้ลองวิธีต่อไปนี้
1.เปปเปอร์มิ้นท์
งานวิจัยพบว่าชาเปปเปอร์มิ้นท์หรืออาหารเสริมนั้นอาจจะช่วยลดอาการของโรคลำไส้แปรปรวนซึ่งรวมถึงการมีแก๊สในท้อง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อาหารเสริม เปปเปอร์มิ้นท์สามารถขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กและยาบางชนิดนี้ และอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางหน้าอกในผู้ป่วยบางราย
เวลาที่รับประทานอาหารเสริมให้รับประทานตามคำแนะนำข้างฉลากผลิตภัณฑ์ หากรับประทานชาเปปเปอร์มิ้นท์ให้ดื่ม 1 แก้วก่อนการรับประทานอาหารแต่ละมื้อเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
2.ชาคาโมไมล์
ชาคาโมไมล์สามารถลดภาวะอาหารไม่ย่อย แก๊สที่อยู่ภายในท้องและอาการท้องอืดได้ การดื่มชาคาโมไมล์ก่อนอาหารและก่อนนอนนั้นอาจจะช่วยลดอาหารได้ในผู้ป่วยบางราย
3.Simethicone
เป็นยาที่มีอยู่ภายใต้ชื่อการค้าหลายชื่อ โดยทำงานด้วยการรวบรวมแก๊สในกระเพาะอาหารเพื่อให้ขับออกง่ายขึ้น ควรรับประทานตามคำแนะนำบนฉลากยา และปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาหากคุณกำลังรับประทานยาอื่นหรือกำลังตั้งครรภ์
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
4.Activated charcoal
Activated charcoal เป็นอีกชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยกำจัดแก๊สที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ได้ โดยให้รับประทานก่อนรับประทานอาหารและ 1 ชั่วโมงหลังทานอาหาร
5.น้ำส้มสายชูจาก apple cider
ให้เจือจางน้ำส้มสายชูจาก apple cider 1 ช้อนโต๊ะลงในเครื่องดื่มเช่นน้ำเปล่าหรือชาและดื่มก่อนรับประทานอาหารหรือวันละ 3 ครั้งตามต้องการเพื่อลดอาการ
6.การออกกำลักงาย
การออกกำลักงายสามารถปล่อยแก๊สที่สะสมและลดอาการปวดได้ ลองเดินหลังจากรับประทานอาหารเพื่อช่วยป้องกันการเกิดแก๊ส หากมีอาการปวดแน่นท้อง การกระโดดเชื้อ วิ่ง หรือเดินอาจจะช่วยกำจัดแก๊สดังกล่าวได้
7.อาหารเสริมที่มีแลคเตส
น้ำตาลแลคโตสนั้นอยู่ในนม และผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์แลคเตสนั้นจะไม่สามารถย่อยน้ำตาลชนิดนี้ได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมที่มีแลคเตสอาจจะช่วยในการย่อยน้ำตาลแลคโตสได้
8.กานพลู
กานพลูนั้นเป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ทำอาหาร และน้ำมันจากกานพลูนั้นอาจจะช่วยลดอาการท้องอืดและแก๊สโดยการสร้างเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหารได้ ให้ลองผสมน้ำมันจากกานพลู 2-5 หยดในน้ำดื่ม 1 แก้วและดื่มหลังอาหาร
การป้องกันการเกิดแก๊ส
หากคุณไม่ได้มีโรคที่ทำให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการปรับเปลี่ยนนิสัยการรับประทานและอาหารที่รับประทานเช่น
- นั่งระหว่างรับประทานอาหารและทานช้าๆ
- พยายามอย่ากลืนอากาศเข้าไปมากระหว่างที่กินและพูด
- หยุดเคี้ยวหมากฝรั่ง
- หลีกเลี่ยงน้ำอัดสม
- หยุดสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เช่นเดินหลังจากมื้ออาหาร
- ไม่ทานอาหารที่รู้ว่าจะทำให้เกิดแก๊ส
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มโดยใช้หลอด
สาเหตุ
มีบางโรคที่อาจจะทำให้เกิดแก๊สส่วนเกิน เช่น
- โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
- ภาวะพร่องเอนไซม์แลคเตส
- โรคเซลิแอค
- Crohn’s disease
- โรคเบาหวาน
- โรคแผลในกระเพาะอาหาร
- โรคลำไส้แปรปรวน
สรุป
การมีแก๊สในช่องท้องนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการปวดได้ แต่มักจะไม่ได้เป็นอันตราย หากคุณรู้สึกว่าอาการนี้ส่งผลต่อคุณ ควรสังเกตอาหารที่รับประทานและวิธีการใช้ชีวิตเพื่อดูว่าสามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้บ้าง ในผู้ป่วยส่วนใหญ่การปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตและอาหารที่รับประทานสามารถกำจัดภาวะนี้ได้ หากคุณมีอาการไม่ดีขึ้นหลังผ่านจากพยายามปรับเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรมไปแล้วหลายสัปดาห์ควรไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจว่าอาการนี้เกิดจากโรคอื่นหรือไม่