ต้นกระทือ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ต่อมาภายหลังได้แพร่กระจายมายังทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย ต้นกระทือจะโทรมในฤดูแล้ง จากนั้นจะขึ้นใหม่ในช่วงฤดูหน้าฝน สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เหง้าหรือที่เรียกว่าหัว เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ในที่ที่มีความชื้นพอสมควร และมีแสงแดดส่องตลอดวัน พบขึ้นมากทางภาคใต้ ตามป่าดงดิบ ริมลำธารหรือชายป่า บางคนนำดอกกระทือมาใส่แจกันเป็นดอกไม้ประดับ แต่ในบางภูมิภาคกินกระทือเป็นอาการ เช่น ภาคอีสาน มีการนำดอกกระทือมาต้มกินกับน้ำพริก ภาคใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน นำกระทือไปแกงกับปลาย่าง ฯลฯ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber zerumbet (Linn.) Smith.
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 0 บาท ลดสูงสุด 25650 บาท
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ชื่อวงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่อพ้อง Zingiber amaricans Blume
ชื่อท้องถิ่น กะทือป่า กะแวน กะแอน เปลพ้อ เฮียวข่า เฮียวแดง แฮวดำ
ชนิดย่อยของกระทือ
กระทือ แบ่งออกเป็นหลายชนิด ได้แก่
- กระทือบ้าน มีลักษณะกาบสีแดงอมม่วง ดอกช่ออัดแน่นทรงกรวยป้อม ใบประดับสีแดง กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ต้นสูงราว 1-1.5 เมตร
- กระทือป่าเล็ก ลักษณะกาบสีแดงอมม่วง ใบสีเข้มกว่ากระทือบ้าน ดอกช่ออัดแน่นทรงกรวยป้อม ใบประดับสีแดง กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ต้นสูงราว 1 เมตร
- กระทือป่าใหญ่ สีกาบสีเขียว ใบสีเขียว ดอกช่ออัดแน่นทรงกรวยยาวซึ่งต่างจากกระทือบ้านและกระทือป่าเล็ก ใบประดับสีเขียวอมแดงเข้ม กลีบดอกพบได้ทั้งสีขาว สีเหลืองอ่อน และสีเหลืองเข้ม ต้นสูงราว 1.5-2 เมตร
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกระทือ
กระทือเป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นอยู่เหนือดินสูงราว 0.9-1.5 เมตร และมีเหง้าอยู่ใต้ดินเรียกว่า หัวกระทือ เปลือกนอกของเหง้ามีสีน้ำตาลแกมเหลือง ส่วนเนื้อในมีสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอม มีรสขม ขื่น ปร่า และเผ็ดเล็กน้อย ใบโตยาวเขียว ดกหนา ทึบซ้อนกันแผง ลักษณะใบคล้ายรูปหอกแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบและแผ่นใบเรียบ ด้านล่างของใบมักมีขนนุ่ม ดอกออกเป็นก้านแข็งชูขึ้นไปแล้วมีดอกที่ปลายของก้านนั้น ดอกปุ้มๆ กลมยาวคล้ายฟองไข่ เป็นเกล็ดเล็กๆ คล้ายเกล็ดปลา มีดอกเล็กสีเหลืองออกแทรกตามกลีบของเกล็ดนั้น
การเพาะปลูกกระทือ
กระทือสามารถเพาะปลูกได้ทั่วไปในทุกฤดูกาล ชอบดินร่วนซุยและมีความชุ่มชื้น มีการระบายน้ำได้ดี เวลาปลูกใช้วิธีแยกเหง้าจากกอแม่และตัดใบที่ติดมาทิ้งไป เพื่อลดการสูญเสียน้ำ ปลูกลงดินไม่ต้องลึกมากนัก คอยดูแลให้ความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ส่วนที่ใช้เป็นยาของกระทือคือหัวหรือเหง้าสด ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บส่วนเป็นยาคือ ช่วงฤดูแล้ง
สรรพคุณของกระทือ
แต่ละส่วนของกระทือมีสรรพคุณทางยาดังนี้
- ตามสรรพคุณยาโบราณว่า ลำต้น ราก ดอกและเกสร รสขมขื่น ออกเฝื่อนๆ เล็กน้อย มีสรรพคุณแก้ผอมเหลือง แก้ไข้เรื้อรัง ไข้ตัวเย็น ไข้จับสั่น แก้เบื่ออาหาร แก้ลม บำรุงธาตุ โดยนำส่วนลำต้น ราก ดอกและเกสรมาต้มในน้ำแค่พอเดือด ไม่ต้องเคี่ยวให้น้ำงวดจนเกินไป รับประทานวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ติดต่อ 3-5 วัน
- ใบ ช่วยขับเลือดเน่าในเรือนไฟ ซึ่งในที่นี้หมายถึง ขับเลือดเสียในมดลูก ขับน้ำคาวปลา หลังจากคลอดบุตรโดยนำส่วนใบในน้ำเดือด รับประทานวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ติดต่อกัน 7 วันหลังคลอดบุตร
- หัวและเหง้า มีรสขมขื่นปร่า มีสรรพคุณบำรุงน้ำนม บำรุงธาตุ วิธีใช้คือนำเหง้าไพลและกระทือฝ่านเป็นแว่น แล้วแช่น้ำ ให้สตรีหลังคลอดดื่มเพื่อให้น้ำนมออกมากขึ้น และบำรุงร่างกายของหญิงหลังคลอดเองด้วย
- หัวและเหง้า มีสรรพคุณขับน้ำย่อยให้ลงสู่ลำไส้ แก้จุกเสียด แก้ปวดมวน แก้บิด ขับลมผาย ขับปัสสาวะ โดยนำเหง้า เผาไฟให้สุกนำไปฝนกับน้ำปูนใส รับประทานแก้บิดปวดเบ่ง แก้ แน่นท้อง ปวดบวม แก้เบื่ออาหาร แก้เสมหะเป็นพิษ แก้แน่นอก ขับเสมหะ และยังกล่าวอีกว่ากะทือป่ามีสรรพคุณแรงกว่ากะทือบ้าน และขับน้ำย่อยอาหาร แก้จุกเสียดดีกว่ากะทือบ้าน
กระทือกับสรรพคุณบำรุงน้ำนมในมารดาหลังคลอดบุตร
หัวกระทือประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) ซึ่งประกอบด้วยสาร Methyl-gingerol, Zingerone, Citral เป็นต้น น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ขับลมได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในระดับคลินิกที่รองรับว่า มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นให้เซลล์เต้านมนั้นเพิ่มการสร้างน้ำนมมากขึ้นได้ ส่วนด้านความเป็นพิษ กองวิจัยทางแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีรายงานว่า กระทือไม่มีพิษเฉียบพลันในหนูถีบจักร แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาความเป็นพิษในคน ฉะนั้นการรับประทานกระทือที่เหมาะสมคือไม่รับประทานในปริมาณที่มากเกินไป หรือติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน ควรผลัดเปลี่ยนสมุนไพรตัวอื่นๆ ที่สามารถช่วยบำรุงน้ำนมได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ระย่อม มะละกอ ขิง เป็นต้น